การประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๘ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

          สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงมหาดไทย และจังหวัดภูเก็ตเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle) หรือ IMT-GT  ระหว่างวันที่ ๑๓ – ๑๖ กันยายน ๒๕๖๕ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทยเป็นประธาน ร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงประสานกิจการเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย

          การประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๘ แผนงาน IMT-GT ครั้งนี้ เป็นการประชุมแบบพบหน้าครั้งแรก หลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ซึ่งรัฐบาลไทย โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงมหาดไทย และจังหวัดภูเก็ต ได้เตรียมความพร้อมในการจัดประชุมดังกล่าว รวมทั้งการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสประจำแผนงาน IMT-GT ไว้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เหมาะสมกับเกียรติภูมิของประเทศไทย โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และประชาชนในพื้นที่

          แผนงาน IMT-GT เป็นกรอบความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคที่มีความสำคัญ ครอบคลุมพื้นที่ ๑๔ จังหวัดภาคใต้ของไทย ๘ รัฐภาคเหนือ และตะวันตกของมาเลเซีย และ ๑๐ จังหวัดในเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย ซึ่งมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการทำให้อนุภูมิภาคนี้มีการบูรณาการ มีนวัตกรรม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และยั่งยืน ภายใน ปี ค.ศ. ๒๐๓๖ หรือเรียกว่า IMT-GT Vision 2036 โดยการดำเนินงานของแผนงาน IMT-GT ประกอบด้วยคณะทำงาน ๘ สาขาความร่วมมือ ได้แก่ (๑) การเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร (๒) การท่องเที่ยว (๓) ผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล (๔) การเชื่อมโยงทางคมนาคม (๕) การอานวยความสะดวกในการค้าและการลงทุน (๖) สิ่งแวดล้อม (๗) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และ (๘) เทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งยังได้ให้ความสำคัญและมุ่งเน้นการสร้างบทบาทความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนของทั้งสามประเทศ ซึ่งจะยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่ได้อย่างแท้จริง

          การประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงาน IMT-GT ในวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๕ นี้ จะเป็นเวทีสำคัญในการประกาศใช้แผนดำเนินงานระยะห้าปี ฉบับที่ ๒ หรือ Implementation Blueprint ๒๐๒๒-๒๐๒๖ (IB 2022-2026) ซึ่งจะต่อยอดการพัฒนา และนำไปสู่การฟื้นตัวของอนุภูมิภาคอย่างยืดหยุ่น ครอบคลุม (Inclusive) และยั่งยืน (Sustainable) ต่อไป

          ทั้งนี้ การประชุมครั้งนี้มีนัยสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว และยังเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของจังหวัดภูเก็ต ในฐานะจุดหมายปลายทางของการจัดประชุมระหว่างประเทศ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของอุตสาหกรรม MICE และการท่องเที่ยวเชิงชุมชนของจังหวัด รวมไปถึงประชาชนภูเก็ตทุกคนในการรับรองผู้มาเยือนจากต่างประเทศอีกด้วย

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีประจำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS Minister) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเจ้าหน้าที่ไทยเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี แผนงาน GMS ครั้งที่ 24 (24th GMS Ministerial Conference) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ภายใต้หัวข้อหลักคือ “มุ่งปูทางเพื่อการบูรณาการที่เพิ่มขึ้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อความยั่งยืน และความเจริญมั่งคั่งในอนุภูมิภาค GMS” ซึ่งกระทรวงการคลัง สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) โดยมี นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงานสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะประธานการประชุมเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ แผนงาน GMS ครั้งที่ 11 (11th GMS Economic Corridor Forum) ได้รายงานความสำเร็จของการประชุมดังกล่าว ในโอกาสนี้ด้วย

ในการประชุมครั้งนี้ มีรัฐมนตรีประจำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS Minister) เข้าร่วม ได้แก่นายซก เจนดา โซเพียรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการสภาเพื่อการพัฒนาแห่งกัมพูชา ราชอาณาจักรกัมพูชาดร.กิแก้ว จันทะบุลีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแผนการและการลงทุน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวนายบารัต ซิงห์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการลงทุนและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมานายถาวร เสนเนียมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมนายทราน ก๊วก ฟึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวางแผนและการลงทุน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีน.ส. โซว เจียหยี่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประธานการประชุม ร่วมกับ 

 
ในโอกาสนี้ รมช. ถาวรฯ เน้นย้ำเจตนารมณ์ของไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไทยได้ลงนามในสัญญาจ้างงานระบบราง ระบบไฟฟ้า และเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร โครงการรถไฟความเร็วสูงภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและจีน วงเงิน 50,633 ล้านบาท เพื่อยกระดับให้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (NSEC)
 
นอกจากนี้ เพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รมช. ถาวรฯ เร่งให้ภาครัฐเห็นความสำคัญในเรื่องการอำนวยความสะดวกกิจกรรมทางเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้ความตกลงการอำนวยความสะดวกคมนาคมขนส่งข้ามพรมแดนใน GMS หรือความตกลง CBTA โดยเฉพาะเร่งปรับปรุงกฎระเบียบการดำเนินงานในด่านพรมแดน และโลจิสติกส์ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีความปลอดภัย เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ และเป็นการปูทางให้พวกเขาสู่การเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าโลกต่อไป
 
ในโอกาสเดียวกันนี้ รัฐมนตรี GMS ร่วมกันให้การรับรอง 1) ร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีแผนงาน GMS ครั้งที่ 24 (Joint Ministerial Statement) 2) รายงานความก้าวหน้าและการปรับปรุงครั้งที่ 3 กรอบการลงทุนของภูมิภาค ปี 2565 (RIF 2022: 3rd Progress Report and Update) และ 3) แนวทางการจัดตั้งคณะทำงานด้านการเคลื่อนย้ายแรงงาน (Labor Migration) ใน GMS ซึ่ง รมช.ถาวรฯ เห็นว่าจำเป็นต้องร่วมกันหาแนววิธีปฏิบัติการจัดจ้างแรงงาน การเคลื่อนย้ายแรงงาน และการส่งกลับแรงงานที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นการดำเนินการร่วมกันเพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และลดปัญหาเชิงสังคมเนื่องมาจากการเคลื่อนย้ายแรงงานผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ขอให้ สศช. เป็นตัวกลางการจัดตั้งคณะทำงานฝ่ายไทย โดยมีผู้แทนระดับอธิบดีหรือรองอธิบดีจากกระทรวงแรงงานเป็นหัวหน้าคณะทำงาน ต่อไป
 
นอกจากนี้ รัฐมนตรี GMS ร่วมกันให้ความเห็นชอบในหลักการร่างเอกสารจำนวน 2 ฉบับเพื่อนำเสนอต่อการประชุมสุดยอดผู้นำ แผนงาน GMS ครั้งที่ 7 (7th GMS Summit) ในเดือน มีนาคม 2564 ได้แก่ 1) ร่างกรอบยุทธศาสตร์ใหม่ของแผนงาน GMS ในระยะปี 2575 (New GMS Strategic Framework 2030) ซึ่งได้รวบรวมแผนการดำเนินการและมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 และมีความสอดประสานกับประเด็นภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของประเทศไทยด้วยแล้ว และ 2) ร่างเอกสารแผนการฟื้นฟูและตอบสนองต่อผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 พ.ศ. 2564-2565 โดยสนับสนุนให้คณะทำงานด้านสุขภาพ (Health Cooperation Sector) ภายใต้แผนงาน GMS เป็นตัวหลักในการทำหน้าที่ดูแล และติดตามการได้มาของวัคซีน ทั้งนี้ เพื่อการกระจายวัคซีนใน GMS อย่างเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ
 
ในการนี้ นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน ในฐานะหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสของไทย และประธานการประชุมเวทีหารือเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ แผนงาน GMS ครั้งที่ 11 (11th GMS Economic Corridor Forum) ได้กล่าวรายงานถึงความสำเร็จของการประชุมฯ ซึ่งเน้นบูรณาการปัจจัยขับเคลื่อนการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ได้แก่ 1) การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อก่อให้เกิดการจ้างงาน เสริมสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาค และเครือข่ายการผลิตระหว่างประเทศ 2) นำเสนอประโยชน์และโอกาสทางเศรษฐกิจของ GMS ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี ASEAN-China และ RCEP และ 3) โอกาสทางเศรษฐกิจจากการอำนวยความสะดวกกิจกรรมทางเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้ความตกลง CBTA เพื่อตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
 
การประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 24 ของแผนงาน GMS ถือเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนจากต่างประเทศในการเข้ามาลงทุนในสาขาที่มีศักยภาพเชื่อมต่อห่วงโซ่การผลิตกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ และเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งการค้า การลงทุน การบริการและการท่องเที่ยว ตามพื้นที่แนวระเบียงเศรษฐกิจ ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งเป็นการนำเสนอบทบาทความเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ การพัฒนาและการเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาในภูมิภาคของไทยที่พร้อมให้ความช่วยเหลื่อสนับสนุนทางด้านการเงินและทางวิชาการ ตลอดจนระบุประเด็นปัญหาและข้อจำกัดทางด้านสังคมและร่วมกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ จากการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการผลิตอุตสาหกรรมข้ามพรมแดน
 
การประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 25 ของแผนงาน GMS กำหนดจัดขึ้นในปี 2565 โดยสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม
 
ผู้สนใจแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) 
สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nesdc.go.th และ www.greatermekong.org
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)