Goal 5Goal 16

ทำไมความรุนแรงต่อสตรียังคงเกิดขึ้นแม้ในยุคที่สังคมพูดถึงความเท่าเทียม : Chapter 2

Chapter 2 รากเหง้าของความรุนแรงต่อสตรี สาเหตุและปัจจัยที่ต้องจับตามอง
                และ ผลกระทบของความรุนแรงต่อสตรี เมื่อบาดแผลส่วนตัวกลายเป็นปัญหาของสังคม

ในยุคที่สังคมทั่วโลกต่างพูดถึงความเท่าเทียมทางเพศและสิทธิสตรี ความรุนแรงต่อผู้หญิงยังคงเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกและท้าทายการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีความพยายามในการส่งเสริมความเสมอภาคและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิทธิสตรี แต่สถิติและเหตุการณ์ความรุนแรงต่อผู้หญิงยังคงปรากฏให้เห็นในทุกมุมโลก

ทำไมความรุนแรงต่อสตรียังคงเกิดขึ้นแม้ในยุคที่เราพูดถึงความเท่าเทียม คำถามนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความซับซ้อนของปัญหา แต่ยังชี้ให้เห็นถึงปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และกฎหมายที่ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเท่าเทียมสำหรับทุกคน บทความนี้จะพาไปสำรวจรากเหง้าของความรุนแรงต่อสตรี ผลกระทบที่เกิดขึ้น และแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

ความรุนแรงต่อสตรีเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมมาอย่างยาวนาน การทำความเข้าใจถึงสาเหตุและปัจจัยที่เป็นรากเหง้าของปัญหานี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน การแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อสตรีไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการปรับเปลี่ยนค่านิยมทางสังคม การเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจ การปรับปรุงกฎหมาย และการสร้างความตระหนักรู้ในสังคม เพื่อนำไปสู่การสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเท่าเทียมสำหรับทุกคน

  1. ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม
    • ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมนับเป็นรากฐานสำคัญที่ก่อให้เกิดความรุนแรงต่อสตรี โดยเฉพาะค่านิยมและบทบาททางเพศที่ฝังรากลึกในสังคมไทย ค่านิยมชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) ที่ให้อำนาจและสิทธิพิเศษแก่ผู้ชาย ส่งผลให้ผู้หญิงถูกมองว่ามีสถานะต่ำกว่าและต้องอยู่ภายใต้การควบคุม อีกทั้งยังส่งเสริมให้ผู้ชายมีอำนาจตัดสินใจหลักทั้งในครอบครัวและสังคม
    • การปลูกฝังความคิดแบบเหมารวมทางเพศ (Gender Stereotypes) ยังคงดำรงอยู่ผ่านการกำหนดบทบาททางเพศที่ตายตัว เช่น การคาดหวังให้ผู้หญิงต้องอ่อนโยน เชื่อฟัง และทุ่มเทดูแลครอบครัว ในขณะที่ผู้ชายต้องแสดงความเข้มแข็ง เป็นผู้นำ และควบคุมสถานการณ์ ความคาดหวังเช่นนี้ได้จำกัดบทบาทและโอกาสในการพัฒนาตนเองของผู้หญิง
    • บรรทัดฐานและค่านิยมในชุมชนก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะการยอมรับหรือมองข้ามการใช้ความรุนแรงในความสัมพันธ์ บางสังคมถือว่าการควบคุมคู่ครองเป็นเรื่องปกติในชีวิตสมรส หรือมองว่าการใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
    • สื่อและสภาพแวดล้อมทางสังคมก็มีอิทธิพลอย่างมาก ได้นำเสนอภาพลักษณ์ที่ส่งเสริมความรุนแรง เช่น การแสดงให้เห็นว่าผู้ชายมีสิทธิ์ควบคุมผู้หญิง ขณะที่การเลี้ยงดูในครอบครัวก็อาจปลูกฝังความคิดแบบชายเป็นใหญ่หรือยอมรับความรุนแรงว่าเป็นเรื่องปกติ
  2. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
    • ปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นอีกหนึ่งมิติสำคัญที่ส่งผลต่อความรุนแรงต่อสตรี โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำทางรายได้และโอกาสในการทำงาน ผู้หญิงมักมีโอกาสเข้าถึงงานที่มีค่าตอบแทนสูงน้อยกว่าผู้ชาย และมักถูกจำกัดบทบาทให้อยู่ในอาชีพที่ถูกมองว่า “เหมาะสำหรับผู้หญิง” นอกจากนี้ การแบ่งแยกทางเพศในตลาดแรงงานยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่กีดกันผู้หญิงจากอาชีพที่มีรายได้ดี
    • การขาดความเป็นอิสระทางการเงินเป็นปัญหาสำคัญ เมื่อผู้หญิงต้องพึ่งพาทางเศรษฐกิจในครอบครัว ทำให้ขาดอำนาจต่อรองและมีความเสี่ยงที่จะถูกควบคุมหรือทำร้าย โดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่มีรายได้หรือทรัพย์สินเป็นของตนเอง มักถูกบังคับให้ต้องทนอยู่ในสถานการณ์ที่มีความรุนแรง
    • ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรง ในภาวะที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเงินเฟ้อ การว่างงาน หรือความยากจน มักส่งผลให้ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ชายสูญเสียบทบาทการเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ อาจหันมาใช้ความรุนแรงเพื่อแสดงอำนาจแทน
    • อีกปัจจัยสำคัญคือความไม่เท่าเทียมในโอกาสทางการศึกษา การที่ผู้หญิงขาดโอกาสในการศึกษาหรือพัฒนาทักษะอาชีพ ทำให้ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้หญิงในพื้นที่ห่างไกลหรือชนบทที่มักประสบปัญหาในการเข้าถึงการศึกษาและการฝึกอบรมที่จำเป็น
  3. ปัจจัยทางกฎหมายและการบังคับใช้
    • ปัจจัยทางกฎหมายและการบังคับใช้เป็นอีกหนึ่งมิติที่ส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อสตรี แม้จะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่หลายฉบับยังมีข้อจำกัดและไม่ครอบคลุมเพียงพอ กฎหมายที่อ่อนแอในการป้องกันและลงโทษความรุนแรงทางเพศ รวมถึงบทลงโทษที่ไม่เข้มงวดพอสำหรับความรุนแรงในครอบครัวหรือการล่วงละเมิดทางเพศ ทำให้การคุ้มครองผู้เสียหายไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
    • การเลือกปฏิบัติยังคงปรากฏในระบบกฎหมาย โดยบางฉบับมีลักษณะที่เลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง เช่น การจำกัดสิทธิในการเป็นเจ้าของทรัพย์สินหรือการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ การขาดกฎหมายที่ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและคุ้มครองสิทธิของสตรีอย่างเป็นรูปธรรม ยิ่งทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างล่าช้า
    • อุปสรรคสำคัญอีกประการคือการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่มีความเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นผู้พิการ ผู้สูงอายุ หรือผู้หญิงในพื้นที่ห่างไกล ที่มักประสบปัญหาในการเข้าถึงความช่วยเหลือ รวมถึงการขาดบริการสนับสนุนที่จำเป็น เช่น ที่พักพิงชั่วคราว หรือการให้คำปรึกษาทางกฎหมาย
    • ปัญหาการตีตราและการขาดความเข้าใจก็เป็นอุปสรรคสำคัญ การที่สังคมหรือแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐมีทัศนคติในเชิงตีตราผู้เสียหาย ทำให้เหยื่อไม่กล้าที่จะร้องเรียนหรือแจ้งความ อีกทั้งการขาดความเข้าใจจากผู้ให้บริการหรือเจ้าหน้าที่ยังอาจส่งผลให้ผู้เสียหายไม่ได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสมและทันท่วงที
  4. ปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
    • นอกจากปัจจัยหลักที่กล่าวมาแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีความสำคัญต่อการเกิดและการแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อสตรี หนึ่งในนั้นคือปัจจัยด้านสุขภาพจิตและความเครียด ซึ่งพบว่าผู้กระทำความรุนแรงมักมีปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะเครียด ภาวะซึมเศร้า หรือการติดสุรา ที่อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมรุนแรง ในขณะเดียวกัน ผู้ถูกกระทำก็มักประสบปัญหาสุขภาพจิตจากการถูกทำร้าย โดยเฉพาะภาวะ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในระยะยาว
    • อีกปัจจัยสำคัญคือการขาดการสนับสนุนจากสังคม เมื่อผู้หญิงไม่มีเครือข่ายสนับสนุนที่เข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน หรือองค์กรในชุมชน ก็มักจะติดอยู่ในวงจรความรุนแรงโดยไม่สามารถหาทางออกได้ นอกจากนี้ การที่ผู้หญิงขาดความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิทธิของตนเองและไม่ทราบว่ามีทรัพยากรหรือความช่วยเหลือใดบ้างที่สามารถเข้าถึงได้ ก็เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นจากสถานการณ์ความรุนแรงได้

ความรุนแรงต่อสตรีส่งผลกระทบในวงกว้างและมีความซับซ้อน ไม่เพียงส่งผลต่อผู้ถูกกระทำโดยตรง แต่ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม การทำความเข้าใจถึงผลกระทบในมิติต่าง ๆ ทั้งผลกระทบทางร่างกาย จิตใจ สังคมและเศรษฐกิจ รวมถึงผลกระทบระยะยาวที่มีต่อสังคมโดยรวม จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาและความจำเป็นในการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

  1. ผลกระทบทางร่างกายและจิตใจ
    • การบาดเจ็บทางกายภาพเป็นผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าผู้หญิงที่เคยประสบความรุนแรงจากคู่ครองมีโอกาสได้รับบาดเจ็บสูงถึง 42% ซึ่งผู้หญิงที่ถูกทำร้ายมักได้รับบาดแผลในระดับต่าง ๆ ตั้งแต่รอยฟกช้ำ กระดูกหัก ไปจนถึงการบาดเจ็บของอวัยวะภายใน ในบางกรณีอาจนำไปสู่ความพิการถาวร การรักษาอาจต้องใช้เวลายาวนานและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว
    • นอกจากนี้ ความรุนแรงยังอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น อาการปวดที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด หรือความผิดปกติของระบบประสาท สำหรับสตรีมีครรภ์ที่ถูกทำร้าย ความเสี่ยงยิ่งเพิ่มสูงขึ้น อาจนำไปสู่การแท้งบุตรเพิ่มขึ้น 16% และ การคลอดก่อนกำหนดเพิ่มขึ้น 41% ภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ หรือส่งผลต่อสุขภาพของทารก ซึ่งเด็กที่เกิดจากแม่ที่เคยถูกกระทำความรุนแรง มีโอกาสเกิดภาวะทุพโภชนาการหรือเสียชีวิตในวัยเด็กสูงขึ้น
    • ความเจ็บปวดทางจิตใจอาจยิ่งรุนแรงและยาวนานกว่าบาดแผลทางกาย ผู้ที่ผ่านเหตุการณ์รุนแรงมักประสบกับภาวะเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (PTSD) มีแนวโน้มพยายามฆ่าตัวตายสูงขึ้น และมีแนวโน้มที่จะมีภาวะซึมเศร้าและปัญหาสุขภาพจิตสูงกว่าคนทั่วไปเกือบสองเท่าซึ่งแสดงออกผ่านอาการต่าง ๆ เช่น ฝันร้าย การหวนระลึกถึงเหตุการณ์ความรุนแรง และความหวาดกลัวที่ไม่สมเหตุสมผล
    • ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลเป็นอีกปัญหาสำคัญที่พบได้บ่อย ความรู้สึกสิ้นหวังการสูญเสียความมั่นใจในตนเอง และความยากลำบากในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น อาจนำไปสู่การแยกตัวจากสังคมและในกรณีร้ายแรงอาจเกิดความคิดทำร้ายตนเอง
  2. ผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ
    • การสูญเสียโอกาสในการทำงานและการศึกษา ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงมักประสบปัญหาในการทำงาน ทั้งการต้องขาดงานบ่อยครั้งหรือถึงขั้นต้องลาออกจากงานสูงถึง 50% ในบางประเทศ เพื่อรักษาบาดแผลหรือฟื้นฟูสภาพจิตใจ บางรายอาจถึงขั้นต้องลาออกจากงานเพื่อหลีกหนีจากสถานการณ์ความรุนแรง ส่งผลให้สูญเสียรายได้และโอกาสในการพัฒนาอาชีพ ในด้านการศึกษา เด็กและเยาวชนหญิงที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความรุนแรงมักต้องเผชิญกับอุปสรรคในการเรียน บางรายอาจต้องหยุดเรียนกลางคันหรือต้องออกจากโรงเรียนก่อนวัยอันควรสูงกว่าปกติ ส่งผลให้สูญเสียโอกาสในการพัฒนาตนเองและสร้างอนาคตที่มั่นคง การขาดการศึกษายังอาจนำไปสู่การมีรายได้ต่ำและความยากจนในระยะยาว นอกจากนี้ ความรุนแรงต่อสตรีส่งผลให้เกิดการสูญเสียรายได้และผลิตภาพทางเศรษฐกิจ คิดเป็น 1.5 – 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของหลายประเทศ
    • ความรุนแรงในครอบครัวส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเด็กที่เติบโตในสภาพแวดล้อมดังกล่าว พวกเขามักแสดงปัญหาด้านพัฒนาการทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และสังคม โดยเด็ก 30% มีแนวโน้มแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและภาวะวิตกกังวลมากกว่าเมื่อเทียบกับเด็กที่เติบโตในครอบครัวปกติ และเด็กในสภาพแวดล้อมที่มีความรุนแรงมีโอกาสสูงขึ้น 50% ที่จะเป็นผู้ใช้ความรุนแรงหรือเหยื่อความรุนแรงในอนาคต ที่น่าเป็นห่วงคือการเกิดวงจรความรุนแรง เมื่อเด็กเติบโตขึ้นอาจมองว่าความรุนแรงเป็นเรื่องปกติและนำไปสู่การใช้ความรุนแรงในชีวิตของตนเอง
    • ความสัมพันธ์ในครอบครัวย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความไว้วางใจและความรักใคร่ปรองดองถูกทำลาย นำไปสู่การแตกแยกของครอบครัว ส่วนเด็ก ๆ อาจต้องแบกรับความเจ็บปวดทางจิตใจไปตลอดชีวิต มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้า หรือความผิดปกติทางจิตใจอื่น ๆ
  3. ผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ
    • วงจรความรุนแรงที่ไม่สิ้นสุด การสืบทอดวงจรความรุนแรง (Cycle of Violence) เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ความรุนแรงยังคงดำรงอยู่ในสังคม เมื่อเด็กเติบโตในสภาพแวดล้อมที่มีความรุนแรง พวกเขามักจะซึมซับและมองว่าความรุนแรงเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน นำไปสู่การใช้ความรุนแรงเป็นวิธีแก้ปัญหาเมื่อเติบโตขึ้น และมีโอกาสมากกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่า ที่จะใช้ความรุนแรงต่อคู่ครองเมื่อตนเองโตขึ้น วัฒนธรรมการยอมรับความรุนแรงจึงถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
    • อิทธิพลจากสื่อและวัฒนธรรมมีส่วนสำคัญในการตอกย้ำหรือเปลี่ยนแปลงทัศนคติเกี่ยวกับความรุนแรง การนำเสนอเนื้อหาที่ส่งเสริมความไม่เท่าเทียมทางเพศหรือมองข้ามความรุนแรงว่าเป็นเรื่องปกติ ย่อมส่งผลให้สังคมขาดความตระหนักและความกระตือรือร้นในการแก้ไขปัญหา
    • ความรุนแรงต่อสตรีสร้างภาระทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลต่อประเทศ รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณจำนวนมากเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข ทั้งการรักษาบาดแผลทางกายและการฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้ถูกกระทำ นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายในการดูแลครอบครัวและเด็กที่ได้รับผลกระทบ
    • การสูญเสียผลิตภาพทางเศรษฐกิจเป็นอีกผลกระทบที่สำคัญ เมื่อผู้หญิงไม่สามารถทำงานหรือพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ ย่อมส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ประเทศที่มีอัตราความรุนแรงต่อสตรีสูง มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าประเทศที่มีอัตราความรุนแรงต่ำ เนื่องจากแรงงานหญิงไม่สามารถเข้าถึงโอกาสในการทำงานอย่างเต็มที่ การลงทุนในมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา แม้จะต้องใช้งบประมาณสูงในระยะแรก แต่ช่วยลดภาระทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความรุนแรงต่อสตรีไม่ใช่เพียงปัญหาส่วนตัวของผู้ถูกกระทำ แต่เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม การแก้ไขปัญหานี้ไม่สามารถทำได้โดยบุคคลหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการปรับเปลี่ยนค่านิยมทางสังคม การเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจ การปรับปรุงกฎหมาย และการสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้าง เพื่อยุติวงจรความรุนแรงและสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน การแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อสตรีจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับสังคม ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความทุกข์ทรมานของผู้ถูกกระทำ แต่ยังส่งผลดีต่อการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว ทุกการกระทำเล็ก ๆ ที่เราทำวันนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอนาคต เพื่อสร้างโลกที่ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเท่าเทียมและปลอดภัย 

ใน Chapter 3 จะพาทุกคนสำรวจแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อสตรี พร้อมทำความรู้จักกับ RESPECT Framework กรอบแนวคิดที่ประกอบด้วย 7 กลยุทธ์สำคัญเพื่อลดความรุนแรงในสังคมอย่างยั่งยืน บทต่อไปจะช่วยเปิดมุมมองใหม่ในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเท่าเทียมสำหรับทุกคน

กองยุทธศาสตร์และประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

เอกสารอ้างอิง

Hfocus. (2563). กรมการแพทย์เผย 4 แนวทางป้องกันความรุนแรงต่อเด็กและสตรี. สืบค้นจาก https://www.hfocus.org/content/2020/11/20506

Un Women. (2024). FAQs: Types of violence against women and girls. Retrieved from https://www.unwomen.org/en/articles/faqs/faqs-types-of-violence-against-women-and-girls

United Nations. (2025). World News in Brief: WHO chief asks US to reconsider withdrawal, gender parity remains distant goal, call for rethink on Nordic alcohol law change. Retrieved from https://news.un.org/en/story/2025/02/1159711

World Health Organization (WHO). (2020). Coronavirus disease (COVID-19): Violence against women. Retrieved from https://www.who.int/news-room/questions-and-answers/item/coronavirus-disease-covid-19-violence-against-women

World Health Organization (WHO). (2024). WHO calls for greater attention to violence against women with disabilities and older women. Retrieved from https://www.who.int/news/item/27-03-2024-who-calls-for-greater-attention-to-violence-against-women-with-disabilities-and-older-women

World Health Organization (WHO). (n.d.). Violence against women. Retrieved from https://www.who.int/health-topics/violence-against-women#tab=tab_1

ชลาศัย กันมินทร์. (2562.) ความรุนแรงในครอบครัว: ปัญหาและแนวทางป้องกัน. สืบค้นจาก https://rsucon.rsu.ac.th/files/proceedings/nation2019/NA19-136.pdf

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. (2557). 5 ข้อปฏิบัติ ป้องกันความรุนแรงในสตรี. สืบค้นจาก https://www.thaihealth.or.th/?p=231270

Chapter 2 รากเหง้าของความรุนแรงต่อสตรี สาเหตุและปัจจัยที่ต้องจับตามอง และ ผลกระทบของความรุนแรงต่อสตรี เมื่อบาดแผลส่วนตัวกลายเป็นปัญหาของสังคม
ดาวน์โหลด
กลับหน้าข่าวสารและบทความ