
หากเรามองมหาสมุทรเพียงแค่แหล่งทรัพยากรธรรมชาติหรือสถานที่ท่องเที่ยว อาจเป็นการมองข้ามบทบาทสำคัญที่แท้จริงของมัน รายงาน The blue imperative: understanding interactions between the ocean, climate and economy ของ Centre for Economic Transition Expertise (CETEx) ในปี 2024 ชี้ให้เห็นว่ามหาสมุทรคือหัวใจสำคัญของสมดุลทางเศรษฐกิจและสภาพภูมิอากาศในระดับโลก บทความนี้จะชวนสำรวจแนวคิดเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทะเลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน เพื่อให้มหาสมุทรสามารถคงความอุดมสมบูรณ์และเกื้อหนุนเศรษฐกิจโลกไปพร้อมกัน
มหาสมุทรคือกุญแจสำคัญในการควบคุมสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
มหาสมุทรไม่เพียงแต่เป็นกักเก็บแหล่งน้ำ ความร้อน และคาร์บอนที่สำคัญของโลกเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความเสถียรให้กับระบบภูมิอากาศโลก โดยมหาสมุทรเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดของโลกและดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในปริมาณที่มากกว่าป่าไม้ทั่วโลก ประมาณ 25% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากกิจกรรมมนุษย์ที่ปล่อยออกมาตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมถูกดูดซับโดยมหาสมุทรโดยมหาสมุทรมีบทบาทสำคัญในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยดูดซับความร้อนส่วนเกินจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีมากขึ้นในบรรยากาศซึ่งอุณหภูมิของมหาสมุทรในช่วง 140 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นถึง 1 องศาเซลเซียส และบางพื้นที่มีการเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 3 องศาเซลเซียส
มหาสมุทรไม่ได้ช่วยเพียงแค่การดูดซับก๊าซคาร์บอนและความร้อน แต่ยังรวมถึงการกระจายความร้อนทั่วโลกผ่านกระแสน้ำในมหาสมุทร ซึ่งมีความสำคัญในการควบคุมการกระจายอุณหภูมิในพื้นที่ต่าง ๆควบคุมการหมุนเวียนของน้ำและสารอาหารที่สำคัญต่อการผลิตทางชีวภาพของโลก ทั้งนี้ ความร้อนและคาร์บอนที่ถูกดูดซับในมหาสมุทรเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดผลกระทบในระยะยาว เช่น การละลายของธารน้ำแข็ง การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล คลื่นความร้อนในมหาสมุทร และความเป็นกรดของน้ำทะเล ที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในระบบนิเวศทางทะเลและชีวิตของมนุษย์ชายฝั่ง
มหาสมุทรเป็นทั้งคลังทรัพยากรและแหล่งขยะของโลก การดำรงชีวิตของมนุษย์บนโลกใบนี้ทำให้เกิดคำถามว่า “มหาสมุทรถูกใช้เป็น ‘คลังทรัพยากร’ หรือ ‘ถังขยะ’ กันแน่?” ความท้าทายที่สำคัญคือการรักษาสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรในฐานะแหล่งทรัพยากร และการปกป้องมหาสมุทรจากผลกระทบที่อาจทำลายระบบนิเวศ ซึ่งกิจกรรมของมนุษย์สร้างผลกระทบอย่างมากต่อระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง
เศรษฐกิจสีน้ำเงิน แนวคิดใหม่เพื่อโลกที่ยั่งยืน
ในโลกปัจจุบันที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาสิ่งแวดล้อมทวีความรุนแรงขึ้น แนวคิดเกี่ยวกับเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก แต่คำนี้กลับยังไม่มีคำนิยามที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลทำให้ยังมีความหมายความคลุมเครือและต้องการการทบทวนใหม่ โดยรายงานฉบับนี้ได้เสนอคำนิยามใหม่เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับแนวคิดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
- เศรษฐกิจมหาสมุทร (Ocean Economy) กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดที่เกิดขึ้นในมหาสมุทร ซึ่งรวมถึงการประมง การขนส่ง และการท่องเที่ยวทางทะเล
- เศรษฐกิจมหาสมุทรที่ลดคาร์บอน (Decarbonised Ocean Economy) รูปแบบเศรษฐกิจ
ที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมในมหาสมุทร เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ - เศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) แนวคิดที่มุ่งเน้นการพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ในมหาสมุทรโดยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน อย่างไรก็ตาม คำนี้ยังไม่มีคำนิยามที่เป็นมาตรฐานระดับโลก ทำให้เกิดความเข้าใจที่หลากหลายและอาจไม่ชัดเจนในทางปฏิบัติ - เศรษฐกิจมหาสมุทรที่ยั่งยืน (Sustainable Ocean Economy) เป็นรูปแบบเศรษฐกิจสีน้ำเงินที่พัฒนาไปอีกขั้น โดยบูรณาการการเติบโตทางเศรษฐกิจเข้ากับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และความเสมอภาคทางสังคม

“เศรษฐกิจระดับโลกและระดับประเทศ
มีความเชื่อมโยงอย่างเป็นรูปธรรมและนัยสำคัญกับบริการทางนิเวศที่มหาสมุทรให้มา”
มหาสมุทรเป็นมากกว่าพื้นที่กว้างใหญ่ที่คั่นกลางระหว่างทวีปต่าง ๆ ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา มหาสมุทรได้ทำหน้าที่เป็นทั้งแหล่งทรัพยากรและสื่อกลางทางเศรษฐกิจที่คอยหล่อเลี้ยงอารยธรรมมนุษย์ ตั้งแต่การจัดหาอาหารและพลังงาน ไปจนถึงการสนับสนุนการค้าและการขนส่งข้ามทวีป ความสำคัญเหล่านี้ไม่ได้ลดลงตามกาลเวลา กลับยิ่งทวีคูณขึ้นในยุคโลกาภิวัตน์ที่เศรษฐกิจทุกระดับต่างพึ่งพามหาสมุทรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจมหาสมุทรจึงถูกนิยามขึ้นเพื่ออธิบายถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับมหาสมุทรและชายฝั่งทะเล โดยครอบคลุมทั้งภาคส่วนดั้งเดิม เช่น การประมง การท่องเที่ยว และการขนส่ง ตลอดจนภาคส่วนใหม่ที่เกิดขึ้นจากนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งรายงานจากธนาคารโลก ในปี 2023 ระบุว่าเศรษฐกิจมหาสมุทรมีมูลค่าประมาณ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรอย่างมหาศาล หากไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม อาจก่อให้ เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศทางทะเลได้ ปัญหาการทำประมงเกินขนาด การท่องเที่ยวที่ไร้การควบคุม และมลพิษทางทะเล ต่างเป็นปัจจัยที่คุกคามสมดุลของระบบนิเวศและอาจสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะยาว ดังนั้น การสร้างเศรษฐกิจสีน้ำเงินจึงไม่ได้หมายถึงการแสวงหาผลประโยชน์จากมหาสมุทรเพียงอย่างเดียว แต่คือการบูรณาการการเติบโตทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและความเสมอภาคทางสังคม เพื่อให้มหาสมุทรยังคงทำหน้าที่เป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจของโลกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
ปัญหาที่มองไม่เห็นใต้ผิวน้ำ การเมืองระหว่างประเทศกับทะเลหลวง
“การขาดโครงสร้างการกำกับดูแลและกลไกการบังคับใช้สำหรับทะเลหลวงก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความยั่งยืนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการแบ่งปันผลประโยชน์จากพื้นที่นี้อย่างเท่าเทียมกัน” สะท้อนถึงประเด็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผิวน้ำ คือการขาดกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพสำหรับพื้นที่ทะเลหลวง ซึ่งนำไปสู่ความท้าทายในการควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงปัญหาด้านความเสมอภาคในการใช้ทรัพยากร
มหาสมุทรเป็นพื้นที่เปิดกว้างที่ไร้พรมแดน ทว่าความกว้างใหญ่กลับสร้างความท้าทายต่อการกำกับดูแล การขาดกลไกควบคุมที่มีประสิทธิภาพอาจนำไปสู่การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างไม่ยั่งยืน การจัดระเบียบกฎเกณฑ์ในทะเลหลวงผ่านอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1982 ซึ่งเป็นกรอบกฎหมายที่กำหนดสิทธิและหน้าที่ของรัฐชายฝั่งในการควบคุมน่านน้ำที่ติดกับชายฝั่ง รวมถึงการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การประมง การพัฒนาพลังงานทางทะเลเชิงพาณิชย์ การสกัดแร่ และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ โดย UNCLOS ได้แบ่งเขตอำนาจในทะเลออกเป็นหลายส่วน โดยมีหลักเกณฑ์สำคัญ ดังนี้
- ทะเลอาณาเขต (Territorial Seas) ครอบคลุมพื้นที่ทางทะเล 12 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง ซึ่งรัฐมีอำนาจเต็มที่ในการควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ
- เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zones – EEZs) พื้นที่ทางทะเลที่ขยายออกไป 200 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง ซึ่งรัฐมีสิทธิในการใช้ทรัพยากรใต้ทะเลและเหนือทะเล
- ทะเลหลวง (High Seas) พื้นที่นอกเหนือจากเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งถือเป็นสมบัติส่วนรวมของโลก ไม่มีรัฐใดมีอำนาจควบคุมโดยตรง แต่ทุกประเทศมีสิทธิในการใช้ร่วมกัน

ทะเลหลวงเป็นพื้นที่ที่มีความท้าทายต่อการกำกับดูแล เนื่องจากไม่มีประเทศใดมีเขตอำนาจเต็มที่ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่นี้ เช่น การทำเหมืองใต้ทะเล การประมงในระดับอุตสาหกรรม และการขนส่งระหว่างประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของทรัพยากรได้ แม้จะมีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS) เป็นกรอบการกำกับดูแลที่สำคัญ แต่กลับขาดกลไกบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพสำหรับการดูแลทรัพยากรในทะเลหลวง จึงมีการเสนอข้อตกลงเพิ่มเติม เช่น ข้อตกลงว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพนอกเขตอำนาจศาลแห่งชาติ (BBNJ) หรือสนธิสัญญาทะเลหลวง ซึ่งลงนามในปี 2023 โดยสนธิสัญญาฉบับนี้มุ่งเน้นการอนุรักษ์และใช้ทรัพยากรในทะเลหลวงอย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่สอดคล้องกับเป้าหมายของกรอบความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลกคุนหมิง-มอนทรีออลซึ่งตั้งเป้าหมายในการปกป้อง 30% ของพื้นที่บกและทะเลของโลกภายในปี 2030
ภัยคุกคามจากกิจกรรมมนุษย์ต่อมหาสมุทร
เศรษฐกิจมหาสมุทรมุ่งเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะสั้น มักละเลยผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในระยะยาว การตัดสินใจที่ให้ความสำคัญกับผลกำไรทันที อาจส่งผลให้ทรัพยากรทางทะเลลดลงอย่างรวดเร็วและเกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศ
มหาสมุทรไม่ได้เผชิญเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ยังต้องแบกรับผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ที่เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจมหาสมุทรที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งการเกษตรที่เป็นแหล่งผลิตอาหารหลักของมนุษย์ ได้สร้างปัญหาโดยไม่ตั้งใจเมื่อดินถูกชะล้างลงสู่ทะเล นำพาสารเคมีและตะกอนที่ปนเปื้อนสู่มหาสมุทร ส่งผลกระทบโดยตรงต่อปะการัง สัตว์น้ำ และพืชทะเล มลพิษทางทะเล กลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นเมื่อมนุษย์พึ่งพาพลาสติกมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขยะพลาสติกที่ถูกทิ้งลงสู่ทะเลโดยไม่ได้รับการจัดการที่เหมาะสมได้สร้างผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร สัตว์ทะเลจำนวนมากติดอยู่ในขยะพลาสติกหรือการรับเอาไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว การทำประมงเกินขนาด เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่ร้ายแรง เนื่องจากความต้องการอาหารทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ทรัพยากรทางทะเลถูกแสวงหาจนเกินขีดจำกัด ขณะเดียวกัน การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแม้จะถูกมองว่าเป็นทางออกเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น แต่หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมก็อาจนำไปสู่การปนเปื้อนในน้ำ การทำลายแหล่งที่อยู่อาศัย และการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศได้ นอกจากนี้ การเกิดขึ้นของกิจกรรมเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ เช่น การทำเหมืองใต้ทะเลลึกนับเป็นภัยคุกคามล่าสุด โดยความเสี่ยงที่แฝงมากับการสกัดทรัพยากรใต้ท้องทะเลนั้นอาจนำไปสู่การเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมทางทะเลในระดับที่ยากจะฟื้นฟู
ทางออกที่ไม่ใช่แค่นโยบายบนกระดาษ
ท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศและกิจกรรมเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในมหาสมุทรการจัดการทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนจึงเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยมากกว่าการเขียนนโยบายบนกระดาษ โดยคำนึงถึงเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมไปพร้อมกัน
- เศรษฐกิจสีน้ำเงินในรูปแบบใหม่ มุ่งเน้นไปที่ความยั่งยืน ตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างมหาสมุทร สภาพภูมิอากาศ และสังคม โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน รวมถึงประชาชนจำเป็นต้องเข้ามาส่วนหนึ่งของความพยายามร่วมกัน
- การทำประมงเกินขนาด การทำลายแหล่งที่อยู่อาศัย มลพิษทางทะเล และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้โดยลำพัง การสร้างกรอบความร่วมมือระดับนานาชาติที่ครอบคลุมการดูแลมหาสมุทรข้ามพรมแดนจึงเป็นกุญแจสำคัญ ซึ่งควรสอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยการอนุรักษ์ทางทะเล
- การควบคุมอุตสาหกรรมทางทะเล ต้องมีความเฉพาะเจาะจงในแต่ละภาคส่วน โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและหน่วยงานต่าง ๆ ต้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีประสิทธิภาพ
- การมีส่วนร่วมของภาคการเงิน เพื่อจัดหาเงินทุนสนับสนุนเศรษฐกิจมหาสมุทรอย่างยั่งยืน
โดยภาคการเงินเข้ามามีบทบาทในเวทีการเจรจาที่เกี่ยวข้องกับมหาสมุทร พร้อมทั้งสนับสนุนโครงการสร้างขีดความสามารถเพื่อเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุน
ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรทางทะเล - เครื่องมือทางการเงินแบบใหม่ เช่น พันธบัตรสีน้ำเงิน เป็นกลไกการจัดหาเงินทุนเพื่อการอนุรักษ์ทางทะเล และผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ครอบคลุมความเสี่ยงเกี่ยวกับมหาสมุทร
- รัฐบาลควรมีบทบาทเชิงรุกในการตรวจสอบและบรรเทาผลกระทบที่ไม่เท่าเทียมกัน
จากกิจกรรมเศรษฐกิจทางทะเล โดยเฉพาะต่อชุมชนชายฝั่งที่เปราะบาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด - การสนับสนุนรัฐกำลังพัฒนาที่เป็นเกาะขนาดเล็กผ่านความช่วยเหลือทางการเงิน การสร้าง
ขีดความสามารถ และการสนับสนุนทางเทคนิค เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและความยืดหยุ่นให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8 ก้าวสำคัญ สู่ทะเลไทยที่ยั่งยืน
ประเทศไทยกำลังเริ่มต้นก้าวสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจทางทะเล ด้วยแนวทางใหม่ที่เรียกว่า “เขตเศรษฐกิจสีน้ำเงิน” (Blue Economy) ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทะเลแต่ยังหมายถึงการบริหารจัดการอย่างมีวิสัยทัศน์สู่ระบบเศรษฐกิจที่เติบโตไปพร้อมกับธรรมชาติอย่างสมดุล เบื้องหลังแนวคิดนี้คือ 8 ก้าวสำคัญ ที่จะนำพาประเทศไปสู่ทะเลที่ยั่งยืนในระยะยาว
ก้าวที่ 1 ศึกษาความเป็นไปได้ก่อนลงมือจริง จุดเริ่มต้นของทุกการเปลี่ยนแปลงคือการถามว่าทำได้จริงหรือไม่ โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองมีหน้าที่จัดทำรายงานความเป็นไปได้ (Feasibility Study)ในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจสีน้ำเงิน เพื่อประเมินความเหมาะสมของพื้นที่ในมิติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติ หรือศักยภาพเชิงผังเมือง
ก้าวที่ 2 ขอกำลังสนับสนุนจากระดับนโยบาย เมื่อผลการศึกษาชี้ชัดว่าพื้นที่มีศักยภาพ หน่วยงานเจ้าของโครงการจะนำเสนอโครงการต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อขอความเห็นชอบในการประกาศเขตเศรษฐกิจสีน้ำเงิน
ก้าวที่ 3 ประเมินผลกระทบอย่างรอบด้าน ก่อนพัฒนา จำเป็นต้องรู้ให้ครบว่าส่งผลกระทบอะไรบ้างต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ผ่านการจัดทำรายงานการประเมินเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment: SEA) ตามข้อกำหนดของกฎหมาย เพื่อให้โครงการเดินหน้าโดยไม่ทิ้งปัญหาไว้เบื้องหลัง
ก้าวที่ 4 สร้างองค์กรนำการเปลี่ยนแปลง หลังจากได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี รัฐบาลจะออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจสีน้ำเงิน พร้อมจัดสรรงบประมาณดำเนินการ หน่วยงานใหม่นี้จะเป็นศูนย์กลางของการขับเคลื่อนแนวทางเศรษฐกิจสีน้ำเงินในทุกมิติ
ก้าวที่ 5 วางรากฐานทางกฎหมาย สำนักงานที่ตั้งขึ้นจะเป็นผู้นำในการยกร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจสีน้ำเงิน ครอบคลุม 4 หัวใจสำคัญ ได้แก่การควบคุมการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนการประสานความร่วมมือระหว่างกิจกรรมทางทะเลการเปิดพื้นที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีบทบาทและการบูรณาการแผนงานและหน่วยงานให้เป็นหนึ่งเดียว
ก้าวที่ 6 ดันกฎหมายเข้าสู่ระบบนิติบัญญัติ ร่างกฎหมายที่ผ่านการกลั่นกรองแล้วจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในระดับรัฐสภา เพื่อให้เกิดการประกาศใช้ตามขั้นตอนของกฎหมาย เป็นการเปลี่ยนแนวนโยบายให้กลายเป็นกรอบบังคับใช้ที่เป็นรูปธรรม
ก้าวที่ 7 วางระบบการบริหารจัดการพื้นที่ใหม่ เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ สำนักงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจสีน้ำเงินจะรับผิดชอบในการพัฒนากลไกการบริหารจัดการพื้นที่เขตเศรษฐกิจสีน้ำเงิน โดยต้องทำงานแบบบูรณาการทั้งในเชิงภารกิจ เชิงพื้นที่ และเชิงระดับนโยบาย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ก้าวที่ 8 ปฏิบัติการภาคสนาม เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เมื่อทุกอย่างพร้อม การดำเนินการในพื้นที่จะเริ่มต้นขึ้น สำนักงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจสีน้ำเงินจะเป็นหัวเรือหลักในการพัฒนาโครงสร้าง พื้นที่ และกิจกรรมในเขตเศรษฐกิจสีน้ำเงิน ให้สอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ไม่ทิ้งทั้งธรรมชาติและผู้คนไว้ข้างหลัง
ในโลกที่กำลังเผชิญกับภาวะโลกร้อน การเสื่อมโทรมของระบบนิเวศทางทะเล และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ รายงานฉบับนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล การตระหนักรู้และปรับตัวต่อความเชื่อมโยงระหว่างมหาสมุทรสภาพภูมิอากาศ และเศรษฐกิจ จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน บทความนี้ชวนให้หันมามองมหาสมุทรด้วยมุมมองใหม่ที่ไม่ใช่เพียงแค่ผืนน้ำอันกว้างใหญ่ แต่คือแหล่งทรัพยากรที่เต็มไปด้วยโอกาสหากได้รับการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม มหาสมุทรจะสามารถเกื้อหนุนทั้งระบบนิเวศและเศรษฐกิจให้เติบโตไปพร้อมกันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
กองยุทธศาสตร์และประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เอกสารอ้างอิง
Centre for Economic Transition Expertise. (2024). The blue imperative: understanding interactions between the ocean, climate and economy. Retrieved from https://cetex.org/publications/the-blue-imperative-understanding-interactions-between-the-ocean-climate-and-economy/
Dialogue earth. (2025). To save our ocean, we need a sustainable blue economy. Retrieved from https://dialogue.earth/en/ocean/to-save-our-ocean-we-need-a-sustainable-blue-economy/
London School of Economics and Political Science. (2024). What is the blue economy? Retrieved from https://www.lse.ac.uk/granthaminstitute/explainers/what-is-the-blue-economy/
UNESCO. (2023). With the “High Seas Treaty” on biodiversity signed, what do we need to do next? Retrieved from https://www.unesco.org/en/articles/high-seas-treaty-biodiversity-signed-what-do-we-need-do-next
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม. (2564). เศรษฐกิจสีน้ำเงินของไทย: เดินอย่างไรให้ถึงความยั่งยืนทางทะเล. สืบค้นจาก https://researchcafe.tsri.or.th/sustainability/