
การพิจารณาคดีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice – ICJ) เมื่อเดือนธันวาคม 2024 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์การต่อสู้กับวิกฤตโลกร้อน ไม่เพียงเป็นคดีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของศาลโลกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความพยายามในการสร้างกรอบความรับผิดชอบทางกฎหมายที่ชัดเจนในการจัดการกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะในประเด็นของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการให้ความช่วยเหลือประเทศที่ได้รับผลกระทบ
จุดเริ่มต้นของคดีประวัติศาสตร์นี้มาจากความพยายามของประเทศวานูอาตูและประเทศหมู่เกาะเล็ก ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกที่กำลังเผชิญภัยคุกคามจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากกลุ่มนักศึกษาหมู่เกาะแปซิฟิกที่ต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สะท้อนให้เห็นพลังของคนรุ่นใหม่ในการผลักดันประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม แสดงให้เห็นถึงความกังวลร่วมกันของนานาประเทศต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่มีต่อประเทศกำลังพัฒนาและประเทศหมู่เกาะขนาดเล็กที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
“การที่ประเทศที่ปล่อยมลพิษสูงเพียงไม่กี่ประเทศล้มเหลวในการปฏิบัติตามพันธกรณีของตน ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ” เนื่องจากพวกเขาได้นำมนุษยชาติ “มาสู่ขอบเหวแห่งความหายนะ” – Arnold Kiel Loughman
ความรับผิดชอบของรัฐ : ประเด็นทางกฎหมายที่สำคัญในการปกป้องสภาพภูมิอากาศ
ประการแรก พันธกรณีของรัฐภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ในการปกป้องระบบสภาพภูมิอากาศจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต รวมถึงขอบเขตความรับผิดชอบในการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่กำหนดไว้
ประการที่สอง ผลทางกฎหมายต่อรัฐที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะผลกระทบที่มีต่อประเทศหมู่เกาะขนาดเล็กที่กำลังพัฒนา ซึ่งรวมถึงความรับผิดชอบในการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ความขัดแย้งและจุดยืนที่แตกต่าง
ความแตกต่างของจุดยืนประเทศต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการสร้างความร่วมมือระดับโลก เนื่องจากมีบริบท ข้อจำกัด และความต้องการที่แตกต่างกัน การหาจุดสมดุลระหว่างความต้องการที่แตกต่าง จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่แนวทางการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย
กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา : การเรียกร้องความเป็นธรรม
- บราซิล เป็นตัวแทนของประเทศกำลังพัฒนาที่เน้นย้ำหลักการ “ความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างกัน” โดยชี้ให้เห็นความท้าทายในการพัฒนาประเทศควบคู่ไปกับการรับมือผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ
- จีน แม้จะเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ แต่ก็ยังคงยืนยันสถานะประเทศกำลังพัฒนา โดยเสนอให้ยึดกรอบข้อตกลงปารีสและเรียกร้องระยะเวลาปรับตัวที่มากกว่าสำหรับประเทศกำลังพัฒนา
- ประเทศหมู่เกาะขนาดเล็ก มีข้อเรียกร้องเฉพาะในการรักษาสิทธิทางทะเลและสถานะความเป็นรัฐ แม้จะเผชิญภัยคุกคามจากการสูญเสียดินแดนเนื่องจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น
กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว : การระมัดระวังพันธะผูกพัน
- สหรัฐอเมริกา แสดงท่าทีระมัดระวังและปฏิเสธการตีความที่จะนำไปสู่ข้อผูกพันทางกฎหมายจากข้อตกลงระหว่างประเทศ
- สหภาพยุโรป เน้นแนวทางการสร้างความร่วมมือแบบไม่เผชิญหน้า แต่ไม่สนับสนุนการพัฒนากลไกบังคับใช้ที่เข้มงวด
“เรากำลังจมน้ำ” เสียงร้องที่สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนของปัญหาที่ประเทศหมู่เกาะขนาดเล็กกำลังเผชิญ โดยเฉพาะหลังจากความผิดหวังจากข้อตกลง COP29 ที่กำหนดให้มีเงินช่วยเหลือด้านสภาพภูมิอากาศเพียง 300 พันล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2035 ซึ่งแทบจะไม่เพียงพอต่อความเสียหายที่พวกเขาต้องแบกรับ
คาดการณ์ผลกระทบเชิงระบบที่จะเกิดขึ้น
การพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้เป็นเพียงกระบวนการทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงกระเพื่อมในเชิงระบบ ทั้งในด้านกฎหมาย นโยบาย และสังคม ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการเผชิญหน้าในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ
- ผลทางกฎหมาย เกิดการสร้างบรรทัดฐานใหม่สำหรับการพิจารณาคดีด้านสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งกำหนดกรอบความรับผิดชอบของรัฐที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งจะเป็นฐานสำคัญในการเรียกร้องค่าชดเชยความเสียหาย
- ผลทางการทูตและนโยบาย ส่งผลต่อทิศทางการเจรจาระหว่างประเทศเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ
โดยจะเกิดแรงกดดันให้แต่ละประเทศต้องเพิ่มเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก และนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรที่เป็นธรรมมากขึ้น - ผลต่อประชาสังคม ช่วยเสริมพลังให้กับการเคลื่อนไหวด้านสภาพภูมิอากาศ สร้างความตระหนัก
ในวงกว้างถึงความเร่งด่วนของปัญหา และเพิ่มแรงกดดันต่อทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจให้ต้องดำเนินการอย่างจริงจังมากขึ้น
ข้อเสนอแนะเพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ
การแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากนานาประเทศ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ทั้งการพัฒนากลไกบังคับใช้ ที่มีการกำกับดูแลชัดเจน พร้อมทั้งระบบการตรวจสอบและการรายงานที่โปร่งใส กำหนดมาตรการลงโทษที่มีประสิทธิภาพสำหรับกรณีที่มีการละเมิดข้อตกลง การสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา โดยเพิ่มกองทุนสนับสนุนเพื่อช่วยให้ประเทศเหล่านี้สามารถปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควบคู่ไปกับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนการปรับปรุงความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่มีการพัฒนากลไกการแก้ไขข้อพิพาทที่มีประสิทธิภาพ สร้างระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลและองค์ความรู้ระหว่างประเทศ และส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาคให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
คดีนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยนำกฎหมายมาเป็นเครื่องมือในการสร้างการเปลี่ยนแปลง แต่ความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับเจตจำนงทางการเมืองและความร่วมมือของประชาคมระหว่างประเทศในการนำข้อแนะนำของศาลไปปฏิบัติอย่างจริงจัง การพิจารณาคดีนี้จึงไม่เพียงเป็นการต่อสู้ทางกฎหมาย แต่ยังเป็นการทดสอบความมุ่งมั่นของมนุษยชาติในการปกป้องโลกสำหรับคนรุ่นต่อไป ถึงแม้คำตัดสินของศาลโลกจะเป็นเพียงคำแนะนำที่ไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย แต่ก็เป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยวางรากฐานให้กับการพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศในอนาคต โดยเฉพาะการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
กองยุทธศาสตร์และประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เอกสารอ้างอิง
The Guardian. (2023). ‘Beginning of a new era’: Pacific islanders hail UN vote on climate justice. Retrieved from https://www.theguardian.com/world/2023/mar/30/un-vote-on-climate-justice-pacific-island-change-crisis-united-nations-vanuatu
United Nations. (2024). Landmark climate change hearings represent largest ever case before UN world court. Retrieved from https://news.un.org/en/story/2024/12/1157671
United Nations. (2024). UN World Court concludes landmark hearings on States’ responsibility for climate change. Retrieved from https://news.un.org/en/story/2024/12/1158476
กลับหน้าข่าวสารและบทความ