
เมื่อความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นหัวใจของธุรกิจยุคใหม่ โลกธุรกิจในศตวรรษที่ 21ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อการวัดความสำเร็จขององค์กรไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขผลกำไรเพียงอย่างเดียวแต่ยังรวมถึงผลกระทบที่องค์กรมีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม บทความนี้จะพาสำรวจกรณีศึกษาของ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ที่สะท้อนการปรับตัวครั้งสำคัญ ผ่านแนวคิด GREEN Mission ที่บูรณาการการพัฒนาอย่างยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจ บทเรียนจากองค์กรชั้นนำแห่งนี้แสดงให้เห็นว่า การสร้างสมดุลระหว่างผลตอบแทนทางธุรกิจ ความโปร่งใส และความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นไปได้อย่างไรในยุคที่ความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นหัวใจสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ก้าวสำคัญสู่ความยั่งยืนด้วยวิสัยทัศน์ระดับโลก การนำ SDGs มาเป็นเข็มทิศสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน Singha Estate ได้ก้าวขึ้นมาเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)มาเป็นเข็มทิศในการดำเนินงาน กรณีศึกษานี้สะท้อนถึงการวางรากฐานที่แข็งแกร่งผ่านหลักการ 3 เสาหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือการนำหลักธรรมาภิบาลมาเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร พร้อมทั้งสร้างกลไกการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเป็นระบบ สะท้อนให้เห็นว่าความสำเร็จที่ยั่งยืนต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

ธรรมาภิบาลนำทาง : ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน Singha Estate ได้บูรณาการหลักธรรมาภิบาลเข้ากับทุกมิติของการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่การบริหารห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพไปจนถึงการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนผ่านนโยบายการจ้างงานและการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น การดำเนินงานที่โปร่งใสและมีความรับผิดชอบช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนท้องถิ่นไปจนถึงการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าการเติบโตทางธุรกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืนสามารถเดินหน้าไปพร้อมกันได้อย่างสมดุล
สร้างสังคมคุณภาพ เชื่อมโยงทุกภาคส่วนสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน Singha Estate ได้นำเสนอมุมมองใหม่ของการพัฒนาสังคมที่เน้นการมีส่วนร่วมอย่างรอบด้าน ด้วยการบูรณาการนโยบายสังคมเข้ากับกลยุทธ์องค์กร ตั้งแต่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไปจนถึงการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่น สะท้อนให้เห็นถึงโมเดลธุรกิจสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน
บูรณาการการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน Singha Estateได้บูรณาการแนวคิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผ่านนโยบายที่ครอบคลุมการจัดการผลกระทบต่อระบบนิเวศ ทั้งทางบก ทางน้ำ และอากาศ พร้อมผลักดันแนวทางการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาธุรกิจและการรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่อย่างยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป โดยมีนโยบายสำคัญ ดังนี้

Singha Estate ผู้นำอสังหาริมทรัพย์สีเขียว : ขับเคลื่อนแผนงานสิ่งแวดล้อมครบวงจรสู่เป้าหมาย ความยั่งยืน Singha Estate แสดงให้เห็นถึงการยกระดับมาตรฐานการดำเนินงาน ผ่าน Green Roadmap ที่ครอบคลุมการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียวตลอดห่วงโซ่อุปทาน พร้อมตั้งเป้าหมายท้าทายในการลดการปล่อยคาร์บอนร้อยละ 40 ภายในปี 2573 ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการยกระดับการดำเนินงานตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ในการยกระดับมาตรฐานการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยสู่ความยั่งยืนในระดับโลก

ผลสำเร็จจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาเพื่อโลกที่ยั่งยืน ท่ามกลางวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลกได้ผลักดันให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวครั้งใหญ่ กรณีศึกษานี้จะแสดงผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมจากความมุ่งมั่นขององค์กรในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ผ่านการดำเนินงานที่ครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม สันติภาพและสถาบัน รวมถึงหุ้นส่วนการพัฒนา นับเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบันสามารถสร้างผลกำไรควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมและพัฒนาสังคมได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง


ผลสำเร็จจากการยกระดับมิติทางเศรษฐกิจ : มุ่งสู่องค์กรความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2030 โดยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1 และ 2 จำนวน 26,069 ton CO2eq และได้ดำเนินการต่าง ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การติดตั้งโซลาร์รูฟในนิคมอุตสาหกรรม และสร้างความร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีคู่ค้าจำนวน 80 บริษัทเข้าร่วมการสัมมนาด้านความยั่งยืนในห่วงโซ่ธุรกิจ สะท้อนให้เห็นถึงถึงดำเนินการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนและเศรษฐกิจในระยะยาว
ผลสำเร็จจากการยกระดับมิติทางสังคม : ก้าวย่างแห่งการสร้างคุณค่าร่วมสู่ความยั่งยืน ได้ยกระดับมิติทางสังคมให้เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจที่สร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจและการพัฒนาสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้ (1) การเป็นผู้นำด้านการศึกษาและสร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในมัลดีฟส์ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมในระยะยาว (2) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างเป็นระบบ เสริมสร้างศักยภาพพนักงานและการสร้างโอกาสการจ้างงานในท้องถิ่น และ (3) การพัฒนาชุมชนและสังคมผ่านการผสานแนวคิดการอนุรักษ์ธรรมชาติ พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้ครอบคลุมทั้งพนักงานและผู้รับเหมา สะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่ขยายไปตลอดห่วงโซ่คุณค่า
ผลสำเร็จจากการยกระดับมิติทางสิ่งแวดล้อม : ก้าวสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการต่าง ๆ ที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน ดังนี้ (1) การจัดการน้ำ บริษัทได้บำบัดน้ำทิ้งทั้งหมดตามเกณฑ์มาตรฐานและนำกลับมาใช้ใหม่ 100% (2) การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ (OECMs) คิดเป็น 31% ของพื้นที่โครงการทั้งหมด และมีการดูแลและฟื้นฟูแนวปะการังให้เติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 8,000 ตารางเมตร และ (3) การจัดการขยะและการรีไซเคิล Singha Estate ได้ดำเนินการลดการใช้วัสดุก่อสร้างที่ไม่จำเป็นและการนำวัสดุก่อสร้างไปใช้ใหม่ (Upcycling) 15.65% ของปริมาณวัสดุก่อสร้างทั้งหมด การดำเนินการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ
ผลสำเร็จจากการยกระดับมิติสันติภาพและสถาบัน : มุ่งมั่นในการส่งเสริมความสงบสุขและยุติธรรม โดยได้มีการอบรมพนักงานด้านจรรยาบรรณธุรกิจและการต่อต้านคอร์รัปชัน 100% ของพนักงานทั้งหมด นอกจากนี้ ยังไม่มีการร้องเรียนด้านทุจริต การประพฤติผิด และการละเมิดสิทธิมนุษยชน สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของบริษัทในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่โปร่งใสและยุติธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากทั้งพนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ผลสำเร็จจากการยกระดับมิติหุ้นส่วนการพัฒนา : สร้างความร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีคู่ค้าจำนวน 80 บริษัทเข้าร่วมการสัมมนาด้านความยั่งยืนในห่วงโซ่ธุรกิจ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ยั่งยืนและการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ก้าวย่างแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน จากการดำเนินงานตามแผนพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ของ Singha Estate เห็นผลชัดเจนในปี 2566 ด้วยตัวเลขการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ 26,069 ตัน CO2eq ในขอบเขตที่ 1 และ 2 พร้อมขยายพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ (OECMs) จาก 25% เป็น 31% ของพื้นที่โครงการ และเพิ่มพื้นที่ฟื้นฟูแนวปะการังจาก 5,000 เป็น 8,000 ตารางเมตร เมื่อเทียบกับปี 2565 การพัฒนานี้เกิดขึ้นผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม สะท้อนให้เห็นถึงการยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม
ในโลกที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนกลายเป็นความท้าทายสำคัญขององค์กร การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของ Singha Estate แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาองค์กรที่ไม่เพียงแต่เน้นผลกำไร แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมนั้น เป็นแนวทางที่มีความเป็นไปได้และสามารถสร้างคุณค่าทางธุรกิจในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน
กองยุทธศาสตร์และประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เอกสารอ้างอิง
Singha Estate. (2567). รายงานการพัฒนาอย่างยั่งยืน 2566. สืบค้นจาก https://investor.singhaestate.co.th/th/document/sustainability-reports
Singha Estate. (2567). Green (มิตร) ชั่น ภารกิจเพื่อความหลากหลายที่สมดุลและยั่งยืน ของ Singha Estate สืบค้นจาก https://shorturl.asia/hQN0j
กลับหน้าข่าวสารและบทความ