Goal 8Goal 12Goal 13

จากฟาร์มถึงตู้เสื้อผ้า (Farm to Closet) อนาคตของวงการแฟชั่นเพื่อความยั่งยืน

แนวคิดแฟชั่นรักษ์โลกที่ยั่งยืน (Sustainable Fashion) หรือแฟชั่นช้า (Slow Fashion) สร้างความเปลี่ยนแปลง
ต่อความนิยมของเสื้อผ้าแบบแฟชั่นเร็ว (Fast Fashion) ให้ลดลง แฟชั่นเร็ว (Fast Fashion) มีกระบวนการผลิตโดยตรงจากโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหลัก เต็มไปด้วยความฟุ่มเฟือยและก่อให้เกิดขยะจากอุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นจำนวนมาก ที่มาพร้อมกับการเอารัดเอาเปรียบแรงงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก จากฟาร์มถึงตู้เสื้อผ้า (Farm to Closet) เป็นแนวคิดแฟชั่นรักษ์โลกที่ยั่งยืน (Sustainable Fashion) หรือเป็นแฟชั่นช้า (Slow Fashion) แบรนด์รูปแบบใหม่ที่ปฏิเสธแฟชั่นอุตสาหกรรมที่ผลิตสิ้นค้าออกมาเป็นจำนวนมากเพื่อเป็นแนวทางสำหรับเสื้อผ้าที่ยั่งยืน โดยให้ความสำคัญตลอดวงจรของเสื้อผ้าตั้งแต่การใช้วัตถุดิบ การผลิต การจำหน่าย การใช้สวมใส่ ไปจนถึงการทิ้งทำลาย เพื่อประโยชน์แก่สิ่งแวดล้อม สังคม และผู้เกี่ยวข้องในแวดวงแฟชั่นทั้งหมด

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

อุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นอุตสาหกรรมที่ถือว่าก่อให้เกิดมลพิษมากที่สุด และเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ไม่ถูกควบคุมมากนัก ทำให้การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมแฟชั่นเร็ว (Fast Fashion) เป็นไปอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติมหาศาลที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและกระบวนการผลิตส่งผลให้เกิดน้ำเสียจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้าเป็นอย่างมาก แม้ว่าเส้นใยที่ผลิตส่วนใหญ่จะเป็นเส้นใยสังเคราะห์ แต่การใช้วัสดุสังเคราะห์ที่เพิ่มขึ้นก็ส่งผลให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันมีการผลิตเส้นใยสังเคราะห์ถึง 1.35% ของการใช้น้ำมันทั่วโลก จากการศึกษาขององค์การสหประชาชาติ ในปี 2017 ประเมินว่า ภายในปี 2030 อุตสาหกรรมแฟชั่นจะใช้พื้นที่สำหรับการปลูกฝ้าย ป่าไม้สำหรับเส้นใยจากพืช และทุ่งหญ้าสำหรับปศุสัตว์ เพิ่มขึ้นกว่า 35% รวมเป็นพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 115 ล้านเฮกตาร์ ซึ่งเกือบเท่าขนาดของประเทศแอฟริกาใต้

การผลิตวัตถุดิบสำหรับสิ่งทอนั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบต่อผืนดิน เช่น ความเสื่อมโทรมของผืนดิน
การพังทลายของดิน การเลี้ยงสัตว์มากเกินไปจนทุ่งหญ้าเสื่อมโทรม การกลายเป็นทะเลทราย การตัดไม้ทำลายป่า การขาดแคลนน้ำจืด มลพิษของเสีย การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การปล่อยคาร์บอน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทะเลสาบอารัล (Aral Sea) เป็นตัวอย่างของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการปลูกฝ้ายเพื่อตอบสนองภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าที่ไม่มีการควบคุมทะเลสาบอารัลถือเป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก ตั้งแต่ปี 2000 ทะเลสาบแห่งนี้ได้สูญเสียน้ำไปกว่า 90% ของพื้นที่ เนื่องจากการทำเกษตรกรรมที่ไม่ยั่งยืนจากการปลูกฝ้าย การที่ทะเลสาบอารัลเหือดแห้งส่งผลกระทบต่อพื้นที่โดยรอบ เกิด พายุเกลือ ทราย และฝุ่น รวมถึงน้ำเสียได้ทำลายดิน ทำให้ผลผลิตพืชลดลง ดินเค็มขึ้น กลายเป็นทะเลทรายสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป และสูญเสียแหล่งทำประมงที่สำคัญที่สุดแห่งนึงไปด้วย และตัวอย่างในทะเลทรายอาตากามา (Atacama Desert) ซึ่งเต็มไปด้วยขยะจากอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ถูกนำมาทิ้งอย่างผิดกฎหมาย ประเทศชิลีเป็นหนึ่งในสิบประเทศที่นำเข้าเสื้อผ้ามือสองมากที่สุด ในปี 2022 เสื้อผ้ามือสองประมาณ 131,574 ตัน ถูกนำเข้ามายังชิลี เสื้อผ้าส่วนใหญ่จะไม่สามรถนำมารีไซเคิลได้ มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่มีมูลค่า ทั้งนี้ ประมาณ 70% ของสิ่งทอเหล่านี้จะถูกทิ้งที่ผืนทรายหรือการฝังกลบอย่างผิดกฎหมาย

ผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนท้องถิ่น

อุตสาหกรรมแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้สูญเสียความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมดั้งเดิม โดยวัฒนธรรมท้องถิ่นถูกทำให้กลมกลืนเป็นวัฒนธรรมเดียวกันทั่วโลกให้เป็นไปตามกระแสนิยม ทำให้สไตล์หรือรูปแบบของงานฝีมือของคนท้องถิ่นถูกกดทับด้วยอิทธิพลของแฟชั่นตะวันตก นำไปสู่การกลืนกินอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของช่างฝีมือท้องถิ่น ผู้ผลิตรายเล็กก็ถูกผลักดันเข้าสู่ตลาดด้วยบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ทำให้ผู้คนต้องปรับตัวไปตามความต้องการของตลาดโลก

ผลกระทบต่อแรงงาน

ด้วยอุตสาหกรรมเสื้อผ้าเร็วเน้นความเร็วในการผลิตสินค้าตามกระแสในช่วงเวลานั้น ส่งผลให้ต้องใช้แรงงานจำนวนมากในการผลิต แม้การเติบโตของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าเร็วได้รับการตอบรับจากกระแสความนิยมในปัจจุบันอย่างดี แต่พนักงานส่วนใหญ่กลับมีสภาพการทำงานที่ย่ำแย่ ทำงานหนัก เช่น คนงานในบังกลาเทศบางส่วนทำงานถึง 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ค่าจ้างนั้นก็ไม่ได้เพิ่มมากขึ้นตาม มีคนงานเพียงแค่ 2% ที่ได้รับค่าจ้างอย่างสมเหตุสมผล นอกจากนี้แล้ว พนักงานในโรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใกล้ทางน้ำ ซึ่งในน้ำต่างก็มีสารปนเปื้อนอันตรายที่มาจากการขั้นตอนการผลิตเสื้อผ้าส่งผลให้มีสุขภาพร่างกายย่ำแย่ด้วยเช่นกัน

หมายเหตุ: แผนภาพวิเคราะห์และเรียบเรียงเนื้อหาโดยผู้เขียน

กรณีศึกษาจากฟาร์มถึงตู้เสื้อผ้า (Farm to Closet) แบรนด์ SukkhaCitta ของอินโดนีเซียเป็นตัวอย่าง
การใช้แนวคิดฟาร์มสู่ตู้เสื้อผ้า (Farm to Closet) ที่ร่วมมือกับเกษตรกรท้องถิ่นและช่างฝีมือท้องถิ่นของ
เกาะชวา เกาะบาหลี ติมอร์-เลสเต และฮอนดูรัส โดยราคาเสื้อผ้าแต่ละชิ้นจะสะท้อนถึงแรงงานจากช่างฝีมือท้องถิ่นที่ทอผ้าแต่ละชิ้นขึ้นมา เสื้อผ้าทุกชิ้นในคอลเลกชัน “จากฟาร์มถึงตู้เสื้อผ้า (Farm to Closet) ” ทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ 100% รวมถึงสีย้อมจากพืชที่ใช้วิธีปลูกพืชแบบฟื้นฟู เส้นใยฝ้ายจะถูกปั่นด้วยมือและทอด้วยมือ และถูกตกแต่งโดยช่างฝีมือพื้นเมืองที่ใช้เทคนิคการเขียนเทียนด้วยมือเรียกว่า บาติก (Batik) ผู้ก่อตั้ง SukkhaCitta เชื่อว่า หากผู้ซื้อเข้าใจถึงคุณค่าของสินค้าที่จ่ายเงินไป ผู้ซื้อจะตระหนักว่าเสื้อผ้าราคาถูกนั้นมีต้นทุนที่สูงกว่ามาก SukkhaCitta เป็นบริษัทแฟชั่นแห่งแรกในอินโดนีเซียที่ได้รับการรับรอง B Corp[1] ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจที่มุ่งมั่นในเรื่องความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ทางแบรนมีจุดยืนคือจะไม่ยึดติดกับแฟชั่นตามฤดูกาลแบบเดิม ๆ หรือเร่งรัดการทำงานของช่างฝีมือหรือใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่เกินกำลัง หากสินค้าเป็นที่ต้องการมาก แต่ปัจจัยต่าง ๆ ไม่เอื้ออำนวย บริษัทก็จะยอมให้สินค้านั้นหมดสต๊อกไป นอกจากนี้ทางแบรนด์ยังมีการการันตีการนำสินค้ามาซ่อมแซมหรือย้อมสีใหม่ได้ตลอดอายุการใช้งานเพื่อยืดอายุการใช้งานของสินค้า


[1] B Lab UK ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2558 ได้ริเริ่มมาตรฐานการรับรอง B Corp Certification ซึ่งธุรกิจที่ได้มาตราฐาน B Corp Certification คือ ธุรกิจที่ได้มาตรฐานสูงสุดของการตรวจสอบผลการดำเนินงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม มีความโปร่งใสเปิดเผยได้ และมีความรับผิดชอบทางกฎหมาย เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างผลกำไรและพันธกิจขององค์กร

ปัจจุบัน อุตสาหกรรมแฟชั่นเร็ว ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตของประเทศไทย โดยประเทศไทยผลิตและนำเข้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปประมาณ 110.8 ล้านชิ้นต่อปี ด้วยการเติบโตของการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่มีราคาถูกขึ้น มีการอัปเดตเทรนแฟชั่นที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ปริมาณขยะที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยราคาของเสื้อผ้าที่มีราคาถูกลงและคุณภาพที่ไม่ได้มาตรฐานทำให้เกิดขยะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ขาดความตระหนักถึงคุณค่าของสินค้า ประเทศไทยจะทำอย่างไรให้ประชาชนในประเทศหันมาบริโภคแฟชั่นอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่น

ที่มาข้อมูล: สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ

แม้ว่าภาพรวมการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในปี 2024 มีมูลค่า 6,196.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ภาพรวมของการนำเข้าในปี 2024 มีมูลค่า 5,251.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 โดยเฉพาะการนำเข้า (สะสม) กลุ่มเครื่องนุ่งห่มมีมูลค่า 2,027.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 สะท้อนว่าประเทศไทยพึ่งพาการนำเข้าเสื้อผ้าจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะประเทศจีน ที่ส่งออกทั้งวัตถุดิบ เส้นด้าย และเสื้อผ้า มีราคาถูกหากเทียบกับประเทศอื่น ๆ เป็นเรื่องยากที่จะข้ามข้อจำกัดนี้ได้ นอกจากนี้ การแข่งขันที่เข้มข้นของภาคอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ก่อให้เกิดอุตสาหกรรมแฟชั่นเร็ว ที่เน้นรูปแบบความคิดสร้างสรรค์แต่ไม่เน้นความคงทน การเข้าถึงทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดและข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาดโลกเนื่องจากแบรนด์ต่างชาติเป็นบริษัทขนาดใหญ่มีเงินลงทุนในการโฆษณาสินค้าและบริการต่าง ๆ เป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดในอุตสาหกรรมแฟชั่นของประเทศไทยซบเซาลงมาก ประเทศไทยจึงควรหันมาให้ความสนใจกับการผลิตในอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ยั่งยืน โดยการสร้างมูลค่าให้แก่สินค้าแทนการผลิตครั้งละมาก ๆ มุ่งเน้นความคงทนของผลิตภัณฑ์ และไม่มุ่งแข่งขันในอุตสาหกรรมแฟชั่นเร็ว

ตามที่ ประเทศไทยได้ดำเนินการสนับสนุนอุตสาหกรรมด้านแฟชั่นซึ่งขับเคลื่อนโดยนโยบาย Soft Power ซึ่งมุ่งการสร้างเอกลักษณ์และจุดเด่น เน้นความเป็นไทยผสมผสานภูมิปัญญาดั้งเดิม วัฒนธรรม เอกลักษณ์ของท้องถิ่น พร้อมทั้งการนำเสนอความยั่งยืนผ่านกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการใช้เส้นใยธรรมชาติ กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบที่ทันสมัยแต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ความเป็นไทย ร่วมกับการโฆษณา การสร้างภาพจำ อันจะเป็นการสร้างมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมแฟชั่น ดังนั้น การขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้นโยบายดังกล่าว กอรปกับการปรับตัวโดยเน้นการผลิตสินค้าเครื่องนุ่งห่มที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือมุ่งเน้นการต่อยอดและพัฒนาแนวคิดฟาร์มถึงตู้เสื้อผ้า (Farm to Closet) อย่างเป็นรูปธรรม จะมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาซบเซาของตลาดแฟชั่นไปได้

ปัจจุบันเสื้อผ้าแฟชั่นเป็นเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนสามารถเลือกสรรได้อย่างตามใจ โดยผ่านกระบวนการที่ต้องหยิบยืมทรัพยากรจากธรรมชาติมาใช้มากมาย ที่ส่วนใหญ่คืนให้กับธรรมชาติในรูปแบบของขยะเหลือทิ้ง นอกจากนี้ ยังผ่านการเบียดเบียนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมเสื้อผ้าบางส่วนที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนอย่างไม่เป็นธรรม มีสวัสดิภาพที่ไม่เหมาะสมในการดำรงชีวิต วิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่นที่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสนิยมเพื่อความอยู่รอด จนสูญเสียอัตลักษณ์ของท้องถิ่นไป จากแนวคิดฟาร์มสู่ตู้เสื้อผ้า (Farm to Closet) จะสามารถช่วยลดผลกระทบของแฟชั่นต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมลงได้นับตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตจนถึงการบริโภค  ภาครัฐควรให้การสนับสนุนศิลปินท้องถิ่น ผู้ผลิตรายย่อย ในการสร้างสรรค์ผลงานโดยใช้วัฒนธรรมและวัสดุท้องถิ่นดั้งเดิม สนับสนุนการทำการเกษตรแบบฟื้นฟูในขั้นตอนการเพาะปลูกเส้นใย การใช้สีย้อมจากธรรมชาติ การใช้แรงงานภายในท้องถิ่นเพื่อการกระจายรายได้ลงสู่ชุมชน ควบคู่กับการส่งเสริมการโฆษณาเพื่อสร้างความตระหนักรู้และควบคุมสินค้าแฟชั่นที่ไม่ได้มาตรฐานควบคู่ไปด้วย แม้เสื้อผ้าแฟชั่นที่ผลิตตามแนวคิดฟาร์มถึงตู้เสื้อผ้า (Farm to Closet) จะมีราคาสูงกว่าเสื้อผ้าแฟชั่นทั่ว ๆ ไป ด้วยทรัพยากรการผลิตจากท้องถิ่นที่มีจำกัด การใช้แรงงานหรือศิลปินท้องถิ่นที่มีฝีมือขั้นสูง อย่างไรก็ตาม เสื้อผ้าเหล่านี้เกิดจากความประณีตในการผลิตย่อมมีความแข็งแรงส่งผลให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ซึ่งจะลดขยะจากสิ่งทอลงได้ และการผลิตเสื้อผ้าแบบน้อยชิ้นยังสร้างคุณค่าให้แก่เสื้อผ้าทำให้ผู้สวมใส่ตระหนักถึงคุณค่าของเสื้อผ้าที่สวมใส่อย่างแท้จริง  การบริโภคเสื้อผ้าที่ยังยืนจึงเป็นการบริโภคเสื้อผ้าที่มีกระบวนการผลิตที่จบในท้องถิ่น มีกระบวนการที่โปร่งใส และไม่มีการเอารัดเอาเปรียบแรงงาน คำนึงถึงผู้ซื้อ สิ่งแวดล้อม และท้องถิ่น

กองยุทธศาสตร์และประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

เอกสารอ้างอิง

Claudia Kalb. (2025). Why the future of fashion is ‘farm to closet’. Retrived from https://www.nationalgeographic.com/environment/article/fast-slow-fashion-clothes-sustainable

Jasmine Chinasamy. (2019). Fast Fashion อุตสาหกรรมตัวร้าย : แฟชั่นติดไซเรน. สืบค้นจาก https://www.greenpeace.org/thailand/story/9381/fast-facts-about-fast-fashion/

Jiratchaya Chaichumkhun. (2021). ใส่เสื้อตัวเดิม เก็บชุดให้อยู่นาน ชวนรู้จัก Slow Fashion แนวคิดตรงข้ามของ Fast Fashion. สืบค้นจาก https://thematter.co/social/slow-fashion-concept/133408

Krungsri. (n.d.). Sustainable fashion คืออะไร เทรนด์แฟชั่นรักษ์โลก เสื้อผ้าใหม่ สวยได้ รักษ์โลกด้วย!. สืบค้นจาก https://www.krungsricard.com/th/article/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%89%
E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81
%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81

Post Today. (2024). City & Garbage “อาตากามา” เขตบูชายัญระดับโลก สาย Fast Fashion แวะมาทางนี้ก่อน. สืบค้นจาก https://www.posttoday.com/smart-city/709039

Rebecca Jiménez. (2024). Fashion and land Unravelling the Environmental Impact of Fibres. UNCCD Publication. Retrieved from https://www.unccd.int/sites/default/files/2024-12/UNCCD-Fashion%26LAND-FINAL%20online%20publication_final_single%20pages.pdf

SME Go Inter. (2022). กระแส ‘Sustainable Fashion’ ในญี่ปุ่นกำลังมา สร้างโอกาสธุรกิจที่ SME ไทยต้องคว้าไว้. สืบค้นจาก https://www.bangkokbanksme.com/en/5inter-sustainable-fashion

Subharthi Da, Santu Karmakar, Timilehin Olasoji Olubiyi, Santosh Kumar Behera. (2025). The Social and Environmental Impact of Fast Fashion .IGI Global ScientificPublishing. Retrieved from https://www.researchgate.net/publication/390862344_The_Social_and_Environmental_Impact_of_Fast_Fashion

Techsauce. (2023). Fast Fashion ตัวร้าย มาไวไปไวแต่ทิ้งร่องรอย ผลเสียต่อโลกเพียบ. สืบค้นจาก https://techsauce.co/sustainable-focus/fast-fashion-and-sustainable-choice

Thairath Money. (2024). 40% ของคนไทยใส่เสื้อผ้าครั้งเดียวแล้วทิ้ง Fast Fashion เบื่อง่าย เสพติดไลฟ์สไตล์ อินฟลูฯ เกินพอดี.
สืบค้นจาก https://www.thairath.co.th/money/business_marketing/marketing_trends/2810621

Thai PBS. (2024). “นวัตกรรม” ทางรอดอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย หลังถูก “จีน” ตีตลาด. สืบค้นจาก https://www.thaipbs.or.th/news/content/345803

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ. (n.d.). กระแสอุตสาหกรรมแฟชั่นรักษ์โลก “Sustainable Fashion” ในญี่ปุ่น.
สืบค้นจาก https://www.ditp.go.th/contents_attach/775384/775384.pdf

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม. (2025). “ดีพร้อม” ปลุกพลัง อุตฯ เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายไทย สร้าง “Fashion Hero Brand” พร้อมหนุนพลัง Soft Power แฟชั่น หวังยกระดับแบรนด์ไทยสู่สากลอย่างยั่งยืนตามนโยบาย รมว.เอกนัฏ คาดสร้างมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท. สืบค้นจาก https://www.dip.go.th/th/category/activity-news/2025-05-23-21-47-26

สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ. (2024). กลยุทธ์สิ่งทอของสหภาพยุโรปจะเปลี่ยนอุตสาหกรรมแฟชั่นได้อย่างไร, (49). สืบค้นจาก https://www.thaitextile.org/upload/file/th-dl-4643d7cf9317cfa569420dcd06028b00.pdf

สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ. (2024). ผลักดันอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยด้วยกลยุทธ์การสื่อสารและความร่วมมือภายใต้ Soft Power, (50). สืบค้นจาก https://www.thaitextile.org/upload/file/th-dl-7068f5c7fb43d165180107a27beb6020.pdf

สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ. (2025). ความท้าทายและโอกาสของอุตสาหกรรมแฟชั่นในปี 2025, (53). สืบค้นจาก https://www.thaitextile.org/th/insign/downloadsrc.preview.88.html

จากฟาร์มถึงตู้เสื้อผ้า (Farm to Closet) อนาคตของวงการแฟชั่นเพื่อความยั่งยืน
ดาวน์โหลด

กลับหน้าข่าวสารและบทความ