
ท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ กลุ่มคนที่มีประสบการณ์ตรงและมีองค์ความรู้ในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติกลับถูกละเลยจากกระบวนการตัดสินใจ ทั้งที่ประเด็นเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตของพวกเขาเอง
ชนพื้นเมือง ผู้ที่เคยถูกผลักให้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ เริ่มปรากฏบทบาทใหม่ในฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในเวทีนโยบายระหว่างประเทศ ปรากฏการณ์ทางสังคมนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างที่กำลังเกิดขึ้น บทความนี้ชวนสำรวจบทบาทที่เปลี่ยนแปลงของชนพื้นเมือง ผ่านความเคลื่อนไหวในเวทีสำคัญระดับโลก โดยติดตามความเคลื่อนไหวในอนุสัญญาสำคัญต่าง ๆ การปรับเปลี่ยนกฎหมายในหลายประเทศที่เริ่มเปิดพื้นที่ให้ภูมิปัญญาดั้งเดิม ตลอดจนแนวทางการเสริมความเข้มแข็งให้ชนพื้นเมืองในบริบทประเทศไทย
บทบาทของชนพื้นเมือง การเปลี่ยนผ่านจากผู้สังเกตการณ์สู่การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง
ท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น โลกกำลังทบทวนองค์ความรู้และภูมิปัญญาที่ถูกละเลยมานาน โดยเฉพาะจากชนพื้นเมืองซึ่งมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับธรรมชาติ แม้ชนพื้นเมืองจะมีเพียง 6% ของประชากรโลก แต่พวกเขาดูแลพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพมากถึง 80% อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับถูกกีดกันจากกระบวนการตัดสินใจในประเด็นที่ส่งผลโดยตรงต่อวิถีชีวิตและดินแดนของตนเอง
ความสัมพันธ์ระหว่างชนพื้นเมืองกับผืนแผ่นดินไม่ใช่เพียงเรื่องสิทธิ์ครอบครอง แต่เป็นรากฐานของชีวิต วัฒนธรรม และจิตวิญญาณ องค์ความรู้ที่สั่งสมผ่านหลายชั่วอายุคนนี้ไม่เพียงเป็นวิถีดำรงชีวิต แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศอย่างยั่งยืน ความเชี่ยวชาญในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดจากประสบการณ์ตรงและการสังเกตอย่างใกล้ชิด ทำให้ชนพื้นเมืองมีแนวปฏิบัติที่สอดคล้องกับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพ
รายงานฉบับที่ 6 ขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยสถานการณ์ของชนพื้นเมืองโลก (State of the World’s Indigenous Peoples, Volume VI, Climate Crisis) ยืนยันบทบาทสำคัญของชนพื้นเมืองในแนวหน้าของการปกป้องสิ่งแวดล้อม ทว่าการยอมรับนี้ยังไม่สะท้อนในระดับการมีส่วนร่วมเชิงนโยบายที่แท้จริง ความไม่เท่าเทียมเชิงอำนาจนี้ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องของกลไกระดับโลกในการจัดการวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิผล

ที่มารูปภาพ : CBC (2017)
คำกล่าวของ Aluki Kotierk ประธานเวทีประชุมสามัญแห่งสหประชาชาติว่าด้วยชนพื้นเมือง ครั้งที่ 24 สะท้อนความอยุติธรรมที่ดำรงอยู่ การที่ผู้มีประสบการณ์ตรงกลายเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ เป็นการตอกย้ำโครงสร้างอำนาจแบบบนลงล่างที่ไม่สอดคล้องกับความซับซ้อนของปัญหา ในขณะที่โลกเร่งรับมือภาวะโลกร้อน ผู้ได้รับผล กระทบโดยตรงกลับมีส่วนร่วมในนโยบายอย่างจำกัด ทั้งเป็นการละเมิดสิทธิและปิดกั้นโอกาสพัฒนาแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืน
คำถามที่น่าสนใจคือกลไกการตัดสินใจระดับโลกเปิดพื้นที่ให้เสียงจากชายขอบมากน้อยเพียงใด และทำไมผู้ดูแลระบบนิเวศจึงยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง คำถามเหล่านี้ท้าทายกระบวนทัศน์การพัฒนาแบบเดิมที่มุ่งเน้นแต่การเติบโตทางเศรษฐกิจโดยละเลยมิติสังคมและสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงจึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มจำนวนการมีส่วนร่วมของชนพื้นเมือง แต่เป็นการเปลี่ยน แปลงเชิงคุณภาพในบทบาทของพวกเขา จากผู้สังเกตการณ์สู่ผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูสมดุลโลกที่กำลังเผชิญวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ชนพื้นเมืองกำลังต่อรองเพื่อมีที่นั่งในเวทีนโยบายระดับโลก
แม้ชนพื้นเมืองจะถูกจำกัดบทบาทให้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ในเวทีระหว่างประเทศหลายแห่ง แต่ชนพื้นเมืองยังคงต่อสู้เพื่อสิทธิในการมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายที่ส่งผลโดยตรงต่อวิถีชีวิตและผืนแผ่นดินของตน ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนพื้นเมืองย้ำถึง “สิทธิในการกำหนดตนเอง การมีส่วนร่วมในกิจการภายในรัฐ และสิทธิในการเจรจา” โดยชนพื้นเมืองพยายามสร้างพื้นที่และเสียงของตนเองในเวทีสำคัญหลายแห่ง ดังนี้
1. อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ
(Convention on Biological Diversity: CBD)
เปิดพื้นที่ให้ชนพื้นเมืองมีส่วนร่วมตั้งแต่ปี 1996 โดยเฉพาะมาตรา 8(j) ที่เน้นการเคารพและธำรงรักษาความรู้ท้องถิ่น ความสำเร็จของกรอบความหลากหลายทางชีวภาพโลกคุนหมิง–มอนทรีออล ในปี 2022 สะท้อนให้เห็นถึงการบูรณาการข้อเสนอของชนพื้นเมืองในเรื่องการจัดการพื้นที่อนุรักษ์อย่างมีส่วนร่วม หลักการยินยอมโดยเสรีและได้รับข้อมูลล่วงหน้า ตลอดจนการเข้าถึงกลไกทางการเงิน
2. กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC)
ชนพื้นเมืองได้พยายามยกระดับบทบาทจากผู้สังเกตการณ์สู่ผู้มีส่วนร่วมหลักในนโยบาย ผ่านการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะด้าน การสร้างตำแหน่งในสำนักเลขาธิการ และการสนับสนุนด้านข้อมูล การสร้างขีดความสามารถ รวมถึงการคุ้มครองพื้นที่ดินแดนและกองทุนช่วยเหลือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชนพื้นเมืองสามารถเข้าถึงได้โดยตรง
3. เวทีประชุมสามัญแห่งสหประชาชาติ ว่าด้วยประเด็นชนเผ่าพื้นเมือง
(United Nations Permanent Forum on Indigenous Issues: UNPFII)
เป็นพื้นที่สำคัญที่ชนพื้นเมืองใช้สะท้อนประเด็นเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิทธิมนุษยชน ผ่านรายงานและการติดตามประเด็น เช่น สิทธิในที่ดิน การศึกษา สุขภาพ และผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ
4. ความตกลงปารีส (Paris Agreement)
การประชุม COP21 ในปี 2015 เป็นหมุดหมายสำคัญที่ชนพื้นเมืองประสบความสำเร็จในการผลักดันให้สิทธิของตนได้รับการกล่าวถึงในอารัมภบท และยอมรับคุณค่าของความรู้ดั้งเดิมในมาตรา 7 ซึ่งเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความสำเร็จนี้เกิดจากการขับเคลื่อนของเครือข่ายชนพื้นเมืองระดับโลก (IIPFCC) ที่รวมกว่า 300 องค์กร ทำให้ชนพื้นเมืองมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นในการเจรจาระหว่างประเทศ และนำไปสู่การจัดตั้งแพลตฟอร์มชุมชนท้องถิ่นและชนพื้นเมืองสำหรับแบ่งปันองค์ความรู้ พัฒนาศักยภาพ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายอย่างแท้จริง

กฎหมายในหลายประเทศเริ่มเปิดทางให้ชนพื้นเมืองมีบทบาทในการจัดการสิ่งแวดล้อม
กฎหมายในหลายประเทศเริ่มเปิดทางให้ชนพื้นเมืองมีบทบาทสำคัญในการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวคิดที่มองชนพื้นเมืองเป็นผู้ร่วมกำหนดนโยบาย กำลังได้รับการยอมรับมากขึ้น ซึ่งประเทศในแถบละตินอเมริกาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตา
ประเทศโบลิเวีย กฎหมายกรอบว่าด้วยแม่ธรณีและการพัฒนาแบบบูรณาการเพื่อการอยู่ดีมีสุข ปี 2012 (the 2012 Framework Law of Mother Earth and Integral Development for Living Well) ได้รับรองแนวคิดของชนพื้นเมืองและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ข้ามวัฒนธรรม สร้างเวทีระดับภูมิภาคที่ยกระดับเสียงของชุมชนดั้งเดิม จากเดิมที่ถูกมองเป็นทางเลือกกลายเป็นกุญแจสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน
ประเทศเปรู นำเสนอกฎหมายกรอบว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปี 2018 (the 2018 Framework Law on Climate Change) ที่เน้นการยอมรับภูมิปัญญาท้องถิ่นในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ กฎหมายนี้รับรองสิทธิของชนพื้นเมืองในการได้รับผลประโยชน์จากโครงการลดก๊าซเรือนกระจก และสร้างกลไกการมีส่วนร่วมผ่านโต๊ะกลมเพื่อแก้ปัญหาการย้ายถิ่นฐานที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ประเทศชิลี เป็นกรณีล่าสุดที่น่าสนใจ ด้วยกฎหมายกรอบว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปี 2022 (Framework Law on Climate Change) ที่เน้นการปรึกษาหารือกับชนพื้นเมืองอย่างจริงจังและยกระดับการมีส่วนร่วมให้เป็นรูปธรรม
เมื่อโลกก้าวสู่การยอมรับบทบาทของชนพื้นเมืองในฐานะผู้ดูแลระบบนิเวศอย่างยั่งยืน กฎหมายในหลายประเทศที่บูรณาการภูมิปัญญาชนพื้นเมืองเป็นกลไกสำคัญ ไม่เพียงช่วยขยายกรอบความร่วมมือ แต่ยังท้าทายโครงสร้างอำนาจเดิมที่กีดกันเสียงของกลุ่มชายขอบ หากดำเนินการอย่างจริงจัง บทบาทของชนพื้นเมืองจะกลายเป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่เป็นธรรมและยั่งยืนมากขึ้น
ประเทศไทยเริ่มขยับเพื่อรับฟังเสียงของชนพื้นเมืองในระดับนโยบาย
ประเทศไทยเริ่มแสดงความตื่นตัวในการรับฟังเสียงของชนพื้นเมืองในระดับนโยบาย โดยเป็น 1 ใน 143 ประเทศทั่วโลกที่ลงนามสนับสนุนปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนพื้นเมือง สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านของรัฐไทยในการยอมรับและเคารพสิทธิของชุมชนดั้งเดิมที่เคยถูกละเลย ชนพื้นเมืองจำนวนมากเคยเผชิญปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดิน การจำกัดการเข้าถึงทรัพยากร และการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ทว่าพวกเขายังคงรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ภาษา และภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้ได้อย่างเข้มแข็ง องค์ความรู้เหล่านี้ไม่เพียงเป็นทรัพยากรของชุมชน หากยังเป็นสมบัติล้ำค่าของชาติ โดยเฉพาะในด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนตามที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 27 และมาตรา 70 ซึ่งได้ให้หลักประกันด้านความเสมอภาคและการคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ และยังได้มีการจัดตั้งสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยใน พ.ศ. 2557 เพื่อเป็นเวทีเชื่อมประสานระหว่างชุมชน หน่วยงานรัฐ และภาคประชาสังคม ส่งเสริมให้ชนพื้นเมืองมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและดินแดนของตน นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีการขับเคลื่อนในระดับกฎหมาย โดยเฉพาะการเสนอ “ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. ….” เพื่อรับรองสิทธิของประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ราว 6 ล้านคน ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศและมีวัฒนธรรมหลากหลายแตกต่างกันออกไป ทั้งกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง กลุ่มในป่า กลุ่มพื้นราบ และกลุ่มชายฝั่งหรือเกาะแก่ง
การผลักดันกฎหมายนี้ตอบสนองต่อ 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ (1) เพื่อคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม ให้การคุ้มครองชาวไทยทุกกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ให้ถูกละเมิดสิทธิในการเลือกดำรงวิถีชีวิตตามจารีตประเพณีและวัฒนธรรม รวมทั้งคุ้มครองการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในฐานะพลเมืองของรัฐ (2) เพื่อส่งเสริมศักยภาพกลุ่มชาติพันธุ์ โดยส่งเสริมศักยภาพ สร้างกลไกการมีส่วนร่วมให้ทุกกลุ่มชาติพันธุ์เข้ามาเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน และ (3) เพื่อสร้างความเสมอภาค บนหลักการเท่าเทียมอย่างเป็นธรรมด้วยการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างมีศักดิ์ศรี ลดความเหลื่อมล้ำตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ร่างกฎหมายนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการสร้างหลักประกันว่าชนพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์จะสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีและเท่าเทียม ทั้งในด้านสิทธิพลเมือง การประกอบอาชีพ การเข้าถึงบริการของรัฐ ตลอดจนการรักษาวิถีวัฒนธรรมของตน โดยสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยให้การรับรอง ทั้งนี้ กระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยังดำเนินอยู่ภายใต้การติดตามของวุฒิสภาผ่านคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กฎหมายนี้สามารถตอบสนองต่อความเป็นจริงของสังคมไทยที่หลากหลายได้อย่างแท้จริง
11 แนวทางการสร้างความเข้มแข็งให้ชนเผ่าพื้นเมือง
ในยุคที่โลกเผชิญความท้าทายด้านความหลาก หลายทางวัฒนธรรม กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ถอดบทเรียนจากการทำงานร่วมกับชนเผ่าพื้นเมือง นำเสนอกรอบความคิดเชิงปฏิบัติ 11 ประการ ที่มุ่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจและเสริมศักยภาพชุมชนอย่างเป็นระบบ ดังนี้
- การออกแบบกลไกการทำงานที่หลากหลายและครอบคลุม เปิดพื้นที่ให้ทุกกลุ่มประชากรตั้งแต่เยาวชน สตรี จนถึงผู้สูงวัย ได้มีบทบาทในกระบวนการตัดสินใจ เพื่อกำหนดนโยบายที่สะท้อนความต้องการทุกภาคส่วน
- การจัดตั้งกองทุนสนับสนุนที่มั่นคง ช่วยให้ชุมชนบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพลดการพึ่งพาแหล่งทุนภายนอกที่มาพร้อมเงื่อนไขไม่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น
- การสร้างกติการ่วมกัน ซึ่งสะท้อนคุณค่า วิสัยทัศน์ และเป้าหมายร่วม เพื่อทำงานอย่างเอกภาพและลดความขัดแย้งภายใน
- การประกาศเขตคุ้มครองทางวัฒนธรรมของตนเอง เพื่อปกป้องพื้นที่สำคัญเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ป้องกันการรุกล้ำจากภายนอก และเสริมสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของชุมชน
- การมีส่วนร่วมในโครงสร้างอำนาจท้องถิ่นและระดับรัฐ เพื่อให้เสียงชนเผ่าพื้นเมืองได้รับการรับฟังและปกป้องสิทธิผลประโยชน์ผ่านตำแหน่งสำคัญ เช่น อบต. หรือตำแหน่งผู้นำชุมชน
- สื่อสารสาธารณะ เปลี่ยนแปลงทัศนคติสังคม ผ่านการนำเสนอเรื่องราวและวิถีชีวิตชนเผ่าพื้นเมือง ช่วยลดอคติและสร้างพันธมิตร
- การส่งเสริมรายได้ผ่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืน พร้อมอนุรักษ์และฟื้นฟูมรดกวัฒนธรรมที่กำลังสูญหาย
- การสร้างเครือข่ายทั้งในระดับภูมิภาคและระดับชาติ เพื่อเพิ่มพลังต่อรอง แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และผลักดันนโยบายระดับมหภาคที่เอื้อต่อการพัฒนาชนพื้นเมือง
- การมีที่ปรึกษา นักพัฒนา นักวิชาการ และนักกฎหมาย เติมเต็มช่องว่างทางความรู้และทักษะ ช่วยตีความกฎหมาย วางแผนยุทธศาสตร์ และพัฒนาโครงการซับซ้อน
- การจัดทำแผนที่ร่วมกันและสรุปผลการดำเนินงาน เป็นกระบวนการสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเชิงพื้นที่และองค์ความรู้ของชุมชน เพื่อการวางแผน ติดตาม และถ่ายทอดสู่คนรุ่นต่อไป
- การรักษาความต่อเนื่องในการสนับสนุน เพราะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมและเสริมศักยภาพเป็นกระบวนการที่ใช้เวลา การสนับสนุนมั่นคงและต่อเนื่องช่วยให้ชุมชนพัฒนาอย่างไม่หยุดชะงัก
การบูรณาการแนวทางทั้ง 11 ประการนี้ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ชุมชนสามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้อย่างแท้จริง บนพื้นฐานของการเคารพความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม

เสียงที่ไม่อาจเงียบหายในการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
บทความนี้ชวนสำรวจเสียงของชนพื้นเมืองที่ถูกมองข้ามในการต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ที่แม้จะมีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ธรรมชาติ แต่กลับถูกกันออกจากกระบวนการกำหนดอนาคตของโลกมาอย่างยาวนาน เราได้เห็นการเปลี่ยนผ่านของชนพื้นเมืองจากผู้สังเกต การณ์สู่ผู้นำการเปลี่ยนแปลง ทั้งในเวทีระหว่างประเทศ กฎหมาย ผ่านการต่อรอง การสร้างพื้นที่เสียงของตนเอง และการวางรากฐานใหม่ของความร่วมมือที่ผสานภูมิปัญญาดั้งเดิมเข้ากับนโยบายร่วมสมัย บทความนี้จึงไม่เพียงเปิดเผยความท้าทายและความหวัง หากยังชวนทุกคนตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาว่า เราเปิดใจรับฟังพวกเขาอย่างแท้จริงแล้วหรือยัง ในโลกที่ความยั่งยืนไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากความเป็นธรรมในการกำหนดนโยบายร่วมกัน
กองยุทธศาสตร์และประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เอกสารอ้างอิง
CBC. (2017). Inuit leaders applaud landmark Supreme Court ruling. Retrieved from https://www.cbc.ca/news/canada/north/inuit-leaders-supreme-court-reaction-clyde-river-1.4223429
United Nations. (2025). Indigenous Peoples sidelined in global climate fight, UN warns. Retrieved from https://news.un.org/en/story/2025/04/1162601
United Nations. (2025). State of the World’s Indigenous Peoples, Volume VI, Climate Crisis. Retrieved from https://social.desa.un.org/publications/state-of-the-worlds-indigenous-peoples-volume-vi-climate-crisis
United Nations. (2025). Challenges faced by Indigenous Peoples, ‘an affront to dignity and justice’. Retrieved fromhttps://news.un.org/en/story/2025/04/1162446
สวนีย์ รักษาวงษ์. (2568). “จับตา…วุฒิสภา ผ่านร่างกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์”. สืบค้นจาก https://www.senate.go.th/view/386/News/Highlight/288/TH-TH
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ. (2563). 9 สิงหาคม วันสากลว่าด้วยชนพื้นเมืองดั้งเดิมของโลก. สืบค้นจาก https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1614450208714694&id=165027406990322&set=a.165030680323328
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ. (2567). “นับเราไว้ด้วยคน” ข้อเรียกร้องการขับเคลื่อนสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในเอเชีย กสม. ไทย สะท้อน 11 แนวทางหลักการทำให้สิทธิเป็นจริง เสนอรื้อฟื้นวาระโลก “การติดตามการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของกลุ่มชาติพันธุ์ และชนเผ่าพื้นเมือง”. สืบค้นจาก https://www.nhrc.or.th/index.php/th/NHRC-News-and-Important-Events/9017