
ท่ามกลางตึกสูงและถนนคอนกรีตที่ร้อนระอุ กรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง (Urban Heat Island) ส่งผลต่อทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของผู้คนในเมืองใหญ่ รายงาน Shaping a Cooler Bangkok: Tackling Urban Heat for a More Livable City โดยธนาคารโลก ในปี 2025 นำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับสาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางลดอุณหภูมิของเมือง เพื่อทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าอยู่มากขึ้นและสามารถรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะชวนไปสำรวจว่าเราจะเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้เย็นลงอย่างไร เพื่อก้าวสู่เมืองที่สามารถรับมือกับความร้อนได้อย่างยั่งยืน
Urban Heat Island คืออะไรและทำไมเราต้องให้ความสำคัญ?
เมื่ออุณหภูมิโลกพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 สัญญาณเตือนถึงผลกระทบของภาวะโลกร้อนก็ยิ่งชัดเจนขึ้น หนึ่งในปรากฏการณ์ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของเราคือ “เกาะความร้อนในเมือง” หรือ Urban Heat Island (UHI) ปรากฏการณ์นี้กำลังทำให้เมืองใหญ่ทั่วโลกร้อนขึ้นเร็วกว่าที่เคย ส่งผลกระทบทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของผู้คน

เกาะความร้อนในเมือง (Urban Heat Island – UHI) คือ ปรากฏการณ์ที่ทำให้อุณหภูมิในเขตเมืองสูงกว่าพื้นที่ชนบทโดยรอบอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุหลักมาจากการพัฒนาเมืองที่เปลี่ยนแปลงพื้นผิวธรรมชาติให้กลายเป็นถนน คอนกรีต และอาคารสูง ซึ่งดูดซับและกักเก็บความร้อนได้มากกว่าพื้นที่สีเขียว นอกจากนี้ การใช้พลังงานจำนวนมาก รวมถึงไอเสียจากยานพาหนะและโรงงาน ก็ยิ่งทำให้เมืองร้อนขึ้นไปอีก โดยเฉพาะในเขตที่มีประชากรกลุ่มเปราะบางหนาแน่น มีอุณหภูมิสูงกว่าพื้นที่ชนบทโดยรอบอย่างเห็นได้ชัด
กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมืองอย่างชัดเจน จากข้อมูลทางสถิติ อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีของกรุงเทพฯ ในช่วงปี 1960 – 2000 อยู่ที่ 28 – 30 องศาเซลเซียส แต่ภายในสิ้นศตวรรษนี้ ตัวเลขอาจเพิ่มขึ้นอีก 2.5 – 4.5 องศาเซลเซียส หากไม่มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจากการศึกษาผ่านแบบจำลองสภาพอากาศเฉพาะทาง เช่น แบบจำลองการพยากรณ์อากาศและการวิจัย (WRF รุ่น 4.2) พบว่า บางพื้นที่ของกรุงเทพฯ มีอุณหภูมิสูงกว่าพื้นที่ชนบทโดยรอบถึง 6 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพการพักผ่อนและสุขภาพของประชาชนโดยตรง
เหตุใดการขยายตัวของเมืองถึงทำให้ความร้อนเพิ่มขึ้น
เมืองที่เติบโตขึ้น กำลังทำให้เราร้อนขึ้นกว่าที่เคย การขยายตัวของเมืองไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรือง แต่ยังนำมาซึ่งปัญหาความร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่ออาคารสูง ถนนลาดยาง และกิจกรรมของมนุษย์เข้ามาแทนที่พื้นที่สีเขียว อุณหภูมิในเมืองจึงสูงขึ้นเร็วกว่าพื้นที่โดยรอบ ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเมืองใหญ่ของโลก แต่เห็นได้ชัดเจนในกรุงเทพฯ เมืองที่กำลังเผชิญกับความร้อนที่รุนแรงขึ้นทุกปี
เมืองร้อนขึ้นได้อย่างไร? การเติบโตของเมืองทำให้พื้นที่สีเขียวลดลง เดิมทีต้นไม้และสวนสาธารณะทำหน้าที่ดูดซับความร้อนและปล่อยความเย็นตามธรรมชาติ แต่เมื่อเมืองขยายตัว พื้นที่เหล่านี้ถูกแทนที่ด้วยอาคารสูง ถนนลาดยาง และคอนกรีตที่สะสมความร้อน ทำให้อุณหภูมิในเมืองสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้ง วัสดุก่อสร้าง เช่น คอนกรีตและยางมะตอย มีคุณสมบัติสะสมความร้อนในตอนกลางวันและคายออกมา ในตอนกลางคืน ส่งผลให้แม้พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า เมืองก็ยังคงอบอ้าวตลอดทั้งคืน นอกจากนี้ การใช้เครื่องยนต์และเครื่องปรับอากาศอย่างต่อเนื่อง เป็นตัวเร่งให้เมืองร้อนขึ้น ทั้งไอเสียจากรถยนต์และความร้อนที่ถูกปล่อยจากเครื่องปรับอากาศก่อให้เกิดวงจรความร้อนที่ไม่มีวันสิ้นสุด เมืองจึงยิ่งร้อนขึ้นเรื่อย ๆ และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนในระยะยาว ซึ่งบางพื้นที่ของกรุงเทพฯ ร้อนกว่าส่วนอื่นอย่างมีนัยสำคัญ เขตใจกลางเมือง เช่น เขตปทุมวัน เขตบางรัก และเขตราชเทวี มีอุณหภูมิสูงกว่าเขตชานเมืองที่มีพื้นที่เปิดโล่งมากกว่า ปัจจัยนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของสภาพแวดล้อมเมืองที่มีต่อการสะสมความร้อน แล้วเราจะทำให้เมืองเย็นลงได้อย่างไร? การแก้ปัญหานี้ต้องใช้แนวทางการเพิ่มพื้นที่สีเขียว การใช้วัสดุสะท้อนความร้อน และการออกแบบเมืองที่เอื้อต่อการระบายอากาศ ล้วนเป็นกุญแจสำคัญในการลดผลกระทบของความร้อน
ผลกระทบจาก Urban Heat ที่ไม่ควรมองข้าม
ความร้อนสามารถคร่าชีวิตได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดโรคลมแดด แต่ยังทำให้อาการของโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคทางเดินหายใจรุนแรงขึ้น เฉพาะในปี 2019 ความร้อนในเมืองเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตส่วนเกินถึง 421 – 1,174 รายในกรุงเทพฯ และหากอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียส อาจพุ่งสูงถึง 2,333 รายต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน หากอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส ความสูญเสียอาจถึงระดับ 3,814 รายต่อปี แสดงให้เห็นถึงอันตรายที่มีความรุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ซึ่งเมืองที่ร้อนขึ้นไม่ใช่เพียงเรื่องของความไม่สบายตัว แต่เป็นความท้าทายที่ส่งผลต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง
ด้านสุขภาพ กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุและเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งคิดเป็น 9.3% และ 8.2% ของประชากรกรุงเทพมหานครตามลำดับ เป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับความร้อนมากที่สุด นอกจากนี้ชุมชนที่มีรายได้น้อยและอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบายอากาศไม่ดีต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นโดยไม่มีทางเลือกในการหลีกเลี่ยง ส่งผลให้สุขภาพทรุดโทรมลงและความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันลดลง
ด้านเศรษฐกิจ วันที่ร้อนขึ้นไม่ได้เพียงแต่สร้างความไม่สบายตัว แต่ยังลดผลิตภาพของแรงงาน อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียส ทำให้ผลผลิตของคนงานลดลงถึง 3.3 – 3.4% เทียบเท่ากับการสูญเสียรายได้ถึง 44.7 พันล้านบาทต่อปี หรือ 0.8% ของ GDP กรุงเทพฯ โดยเฉพาะคนงานกลางแจ้ง เช่น แรงงานก่อสร้าง พ่อค้าแม่ค้าริมถนน และรถจักรยานยนต์รับจ้าง เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ในขณะที่พนักงานออฟฟิศก็เผชิญปัญหาความสามารถในการทำงานที่ลดลงเช่นกัน
ด้านพลังงาน อุณหภูมิที่สูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส ทำให้การใช้ไฟฟ้าในกรุงเทพฯ พุ่งขึ้นเกือบ 7% ส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยของครัวเรือนเพิ่มขึ้น 400 – 450 บาทต่อเดือน หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 29% โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีรายได้น้อยจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะต้องใช้จ่ายเงินส่วนใหญ่ไปกับค่าไฟ การเพิ่มขึ้นของการใช้ไฟฟ้ามาพร้อมกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น 2 ล้านเมตริกตันต่อปี ซึ่งซ้ำเติมปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เป็นต้นเหตุของวิกฤตความร้อน

ลดอุณหภูมิในเมืองได้อย่างไร? แนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ
กรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งท้าทายทั้งคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชน เพื่อรับมือกับปัญหาความร้อนในเมืองผ่านแนวทางที่ครอบคลุมและยั่งยืน ดังนี้ การวางแผนเชิงรุกระยะยาว เน้นการขยายพื้นที่สีเขียว เพิ่มสวนสาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ 15 นาที และพัฒนาอาคารที่สีเขียว (Green building) ซึ่งช่วยลดการสะสมความร้อนได้อย่างเป็นรูปธรรม และมาตรการตอบสนองฉุกเฉินในช่วงวิกฤติความร้อน ผ่านระบบเตือนภัยที่แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ตั้งแต่ระยะตรวจสอบ ระยะเตือนภัย ระยะวิกฤต และระยะวิกฤตสูงสุด โดยมีการดำเนินการจะกระตุ้นมาตรการต่าง ๆ ตั้งแต่การให้คำแนะนำแก่ประชาชนไปจนถึงการเปิดศูนย์พักพิง
นอกจากนี้ กรุงเทพฯ ยังมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานและโครงการสีเขียว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเมืองในการรับมือกับความร้อน เช่น ป้ายรถประจำทางพลังงานแสงอาทิตย์ที่ทำหน้าที่เป็นพื้นที่รอที่เย็นสบายพร้อมกับส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และโครงการการปลูกต้นไม้หนึ่งล้านต้นที่ช่วยสร้างพื้นที่ร่มรื่น ตลอดจนการผลักดันการร่วมทุนกับภาคเอกชน เช่น ป่าในเมือง เป็นต้น การผสมผสานระหว่างนวัตกรรม เทคโนโลยี และการออกแบบเมืองเชิงนิเวศ คือกุญแจสำคัญที่ทำให้กรุงเทพฯ เดินหน้าสู่เมืองที่สามารถรับมือกับความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
แผนปฏิบัติการด้านความร้อนในปัจจุบันของกรุงเทพฯ ถูกออกแบบให้สอดรับกับระดับความรุนแรงของอุณหภูมิ โดยมีการแบ่งออกเป็น 5 ระยะ ได้แก่ มาตรการระยะยาว ระยะตรวจสอบ ระยะเตือน ระยะวิกฤต และระยะวิกฤตสูงสุด เพื่อให้สามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การวางรากฐานเชิงป้องกันไปจนถึงการตอบสนองฉุกเฉินในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด ช่วยให้กรุงเทพฯ สามารถบริหารจัดการวิกฤตความร้อนได้อย่างเป็นระบบ ลดความเสี่ยง และช่วยให้เมืองมีความพร้อมในการเผชิญกับสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นในอนาคต
ระยะ | วัตถุประสงค์ | มาตรการ | หน่วยงาน |
1. มาตรการระยะยาว (Year-long Measures) | พัฒนาแผนและแนวทาง เพิ่มความตระหนัก และตรวจสอบความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกี่ยวข้อง กับความร้อน | ให้ความรู้แก่ชุมชน แจกจ่ายอุปกรณ์ป้องกัน และส่งเสริมกลยุทธ์ การลดความร้อนในเมือง | กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรมการแพทย์ กรมพัฒนาสังคม และสวัสดิการ |
2. ระยะตรวจสอบ (Monitoring Phase) (27°C – 32.9°C) | เตือนประชาชนและกลุ่มเสี่ยงเกี่ยวกับผลกระทบจากความร้อน ที่อาจเกิดขึ้น | การติดตามดัชนีความร้อนประจำวัน การแจ้งเตือนล่วงหน้า และคำแนะนำเกี่ยวกับข้อควรระวังในการรับมือกับความร้อน | กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรมการแพทย์ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมประชาสัมพันธ์ |
3. ระยะเตือนภัย (Warning Phase) (33°C – 41.9°C) | ออกคำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงจากความร้อนและเริ่มใช้แผนการรับมือ | การให้ข้อมูลหรือแนวทางแก่ประชาชน เปิดใช้งานศูนย์พักพิง และเตรียมหน่วยตอบสนองฉุกเฉิน | กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรมการแพทย์ กรมประชาสัมพันธ์สำนักงานเขต กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ |
4. ระยะวิกฤต (Critical Phase) (42°C – 51.9°C) | ดำเนินมาตรการฉุกเฉินเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน | บริการฉุกเฉินพร้อม ปฏิบัติงานจำกัดกิจกรรมกลางแจ้ง และจัดให้มี จุดเติมน้ำ | กรมการแพทย์ กรมอนามัย ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน สำนักงานเขต |
5. ระยะวิกฤตสูงสุด (Extreme Phase) (มากกว่า 52°C) | บังคับใช้มาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวดเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง | การตอบสนองฉุกเฉินเต็มรูปแบบ บังคับใช้ ศูนย์พักพิง และติดตามสุขภาพอย่างต่อเนื่อง | กรมการแพทย์ กรมอนามัย ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน สำนักงานเขต |
ก้าวสู่เมืองสีเขียว แนวทางการจัดการความร้อนเพื่อกรุงเทพฯ ที่ยั่งยืน
กรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับความท้าทายในการรับมือกับคลื่นความร้อนที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในแต่ละปี ทำให้เมืองต้องเผชิญกับการระบายความร้อนในพื้นที่ที่แออัดมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศไม่ได้เพียงแค่ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน การรับมือกับปัญหานี้ไม่สามารถดำเนินการแบบแยกส่วนได้ แต่ต้องเป็นแนวทางที่บูรณาการและครอบคลุมทุกมิติ สิ่งสำคัญคือการเชื่อมโยง “ผู้คน สถานที่ และสถาบัน” ให้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความยืดหยุ่นต่อความร้อนในระยะยาว การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองที่เย็นขึ้น และสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้อย่างยั่งยืน
1. สถานที่ (Places)
การสร้างสภาพแวดล้อมที่เย็นลงอย่างยั่งยืน
หนึ่งในแนวทางที่กรุงเทพฯ ต้องการพัฒนาเพื่อรับมือกับเกาะความร้อนในเมืองคือการกำหนดเป้าหมาย “จุดร้อน (Hotspot)” ผ่านการทำแผนที่ความร้อนที่ละเอียด เพื่อระบุพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความร้อนมากที่สุด ซึ่งการผสานแผนที่ความร้อนเข้ากับการวางผังเมืองจะช่วยให้การจัดสรรทรัพยากร เช่น การปลูกต้นไม้ การปรับปรุงพื้นผิวสะท้อนแสง เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในเขตที่มีความหนาแน่นสูงและประชากรที่มีรายได้น้อย
การขยายโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวและสีน้ำเงิน เช่น พื้นที่ต้นไม้ พื้นที่ชุ่มน้ำ และสวนฝนบนหลังคา จะช่วยลดอุณหภูมิในเมืองได้อย่างมีนัยสำคัญ การอนุรักษ์คลองและการสนับสนุนพื้นที่สีเขียวในภาคเอกชนยังช่วยส่งเสริมการระบายความร้อนตามธรรมชาติและปรับปรุงคุณภาพอากาศในระยะยาว
นอกจากนี้ การผสานแนวคิดเรื่องความยืดหยุ่นต่อความร้อนเข้ากับการวางผังเมืองและข้อกำหนดด้านอาคารเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างเมืองที่สามารถรับมือกับอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต การกำหนดให้มีหลังคาสีเขียวและการใช้วัสดุสะท้อนความร้อนในอาคารใหม่ จะช่วยลดการสะสมความร้อนในเมือง ตอลดจนการกระตุ้นให้ภาคเอกชนนำมาตรการเหล่านี้มาใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อช่วยเร่งให้เกิดการปรับตัวและขยายแนวทางนี้ไปสู่โครงการต่าง ๆ ทั่วเมือง
2. ผู้คน (People)
การสร้างความตระหนักและความพร้อมในการป้องกันความร้อน
ประชากรกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก และคนงานกลางแจ้ง ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ การสร้างความตระหนักรู้ผ่านการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แบบกำหนดเป้าหมายโดยใช้สื่อต่าง ๆ เช่น ป้ายโฆษณา โซเชียลมีเดีย และสื่อหลายภาษา จะช่วยเพิ่มความรู้ด้านความปลอดภัยจากความร้อนและส่งเสริมการมีส่วนร่วมในหมู่ประชาชนทุกกลุ่ม
การขยายระบบเตือนภัยล่วงหน้าโดยใช้ช่องทางต่าง ๆ เช่น SMS วิทยุสาธารณะ และลำโพง จะช่วยให้การแจ้งเตือนสามารถเข้าถึงทุกคนได้ทันเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนหรือไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
อีกหนึ่งมาตรการสำคัญคือการสร้างศูนย์พักพิงและจุดเติมน้ำในสถานที่สาธารณะ เช่น โรงเรียน ห้องสมุด และวัด ซึ่งจะช่วยให้ผู้คนสามารถหลบเลี่ยงจากความร้อนจัดได้ ตลอดจนการขยายจุดเติมน้ำสาธารณะในสถานที่สำคัญต่าง ๆ จะช่วยป้องกันการขาดน้ำในช่วงที่อุณหภูมิสูงขึ้น
3. หน่วยงานและกฏระเบียบที่เกี่ยวข้อง (Institution)
การเสริมสร้างการกำกับดูแลที่ยั่งยืน
การสร้างความยืดหยุ่นต่อความร้อนในระยะยาวต้องอาศัยการประสานงานที่ดีระหว่างหน่วยงาน การจัดตั้งคณะทำงานด้านความร้อนระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ และการกำหนดให้มีกลไกการกำกับดูแลที่ชัดเจนจะช่วยให้การดำเนินงานตามนโยบายและการจัดสรรทรัพยากรเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
การเสริมสร้างกฎระเบียบและนโยบาย ในการคุ้มครองคนงานกลางแจ้งและการกำหนดมาตรการลดความร้อนจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการจัดการความร้อนในเมือง จะช่วยให้กรุงเทพฯ สามารถบรรลุเป้าหมายในการสร้างเมืองสีเขียวและยั่งยืนได้
สุดท้าย การจัดตั้งกองทุนเฉพาะสำหรับการรับมือกับความร้อนในเมืองจะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้กรุงเทพฯ มีแหล่งเงินทุนที่มั่นคงสำหรับดำเนินมาตรการระยะยาวในการลดผลกระทบจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น กองทุนนี้จะสนับสนุนการวางแผนเชิงรุกและเปิดโอกาสให้มีการปรับกลยุทธ์ตามผลการติดตามและประเมินผลประจำปี เพื่อให้แน่ใจว่ามาตรการต่าง ๆ สามารถตอบสนองต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
อนาคตของเมืองในยุคที่ต้องเผชิญกับความร้อนมากขึ้น
ในโลกที่อุณหภูมิสูงขึ้นทุกปี เมืองในอนาคตจะไม่ใช่แค่การสร้างตึกสูงหรือเพิ่มพื้นที่สีเขียวแบบเดิม แต่คือการออกแบบใหม่ทั้งระบบ จากวัสดุอาคารที่สะท้อนความร้อน ไปจนถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อคาดการณ์จุดความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยบางเมืองเลือกเดินหน้าเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้รองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ในขณะที่บางเมืองพยายามอยู่กับมันให้ได้โดยปรับพฤติกรรมของคนในสังคม ถ้าหากเรามองเมืองเป็นสิ่งมีชีวิต เมืองที่รอดคือเมืองที่ปรับตัวได้ดีที่สุด ไม่ใช่เมืองที่ใหญ่ที่สุด หรือเมืองที่มีเทคโนโลยีล้ำที่สุดเสมอไป คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่าเราจะทำให้เมืองเย็นลงได้อย่างไร แต่คือเราจะเปลี่ยนเมืองให้กลายเป็นพื้นที่ที่น่าอยู่แม้ในวันที่อากาศร้อนที่สุดได้อย่างไร คำตอบอาจอยู่ที่การออกแบบเมืองให้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แทนที่จะต่อต้านให้ใช้ลมและน้ำเป็นเครื่องมือบรรเทาความร้อน มากกว่าพึ่งพาเครื่องปรับอากาศ สร้างพื้นที่สาธารณะที่ร่มรื่นและกระจายตัวอย่างทั่วถึงแทนการฝากความหวังไว้กับสวนขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง การออกแบบเมืองที่ผสมผสานกับธรรมชาติจะช่วยให้เมืองมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับประชาชน
กองยุทธศาสตร์และประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เอกสารอ้างอิง
Environmental Protection Agency. (n.d.). Heat Island Effect. Retrieved from https://www.epa.gov/heatislands
World Bank. (2025). Shaping a Cooler Bangkok: Tackling Urban Heat for a More Livable City. Retrieved from https://www.worldbank.org/en/country/thailand/publication/shaping-a-cooler-bangkok-tackling-urban-heat-for-a-more-livable-city
World Bank. (2025). ธนาคารโลกและกรุงเทพมหานครเน้นย้ำแนวทางเสริมความแกร่งเมืองท่ามกลางวิกฤตความร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้น. สืบค้นจาก https://www.worldbank.org/th/news/press-release/2025/03/26/world-bank-and-bangkok-metropolitan-administration-highlight-ways-to-strengthen-resilience-amid-rising-heat-crisis